หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ต

ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ต




ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลก่อให้เกิดประโยชน์มากมายได้แก่



- ด้านการติดต่อสื่อสาร เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือการพูดคุยด้วยการส่งสัญญาณภาพและเสียง

- เป็นระบบสื่อสารพื้นที่จำลอง (Cyberspace) ไม่มีข้อจำกัดทางศาสนา เชื้อชาติ ระบบการปกครอง กฎหมาย

- มีระบบการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

- สามารถค้นหาข้อมูลในด้านต่างๆ ได้ผ่านบริการ World Wide Web

- การบริการทางธุรกิจ เช่น สั่งซื้อสินค้า หรือการโฆษณาสินค้าต่างๆ

- การบริการด้านการบันเทิงต่างๆ เช่น การดูภาพยนตร์ใหม่ๆ การฟังเพลง ในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต การเกมออนไลน์ เป็นต้น



โทษของอินเตอร์เน็ต



โทษของอินเตอร์เน็ต มีหลากหลายลักษณะ ทั้งที่เป็นแหล่งข้อมูลที่เสียหาย, ข้อมูลไม่ดี ไม่ถูกต้อง, แหล่งซื้อขายประกาศ

ของผิดกฏหมาย,ขายบริการทางเพศ ที่รวมและกระจายของไวรัสคอมพิวเตอร์ต่างๆ



- อินเตอร์เน็ตเป็นระบบอิสระ ไม่มีเจ้าของ ทำให้การควบคุมกระทำได้ยาก

- มีข้อมูลที่มีผลเสียเผยแพร่อยู่ปริมาณมาก

- ไม่มีระบบจัดการข้อมูลที่ดี ทำให้การค้นหากระทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

- เติบโตเร็วเกินไป

- ข้อมูลบางอย่างอาจไม่จริง ต้องดูให้ดีเสียก่อน อาจถูกหลอกลวง-กลั่นแกล้งจากเพื่อนใหม่

- ถ้าเล่นอินเตอร์เน็ตมากเกินไปอาจเสียการเรียนได้

- ข้อมูลบางอย่างก็ไม่เหมาะกับเด็กๆ

- ขณะที่ใช้อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์จะใช้งานไม่ได้

โทษของอินเตอร์เน็ต

โรคติดอินเทอเน็ต(Webaholic)


อินเตอร์เน็ตก็เป็นสิ่งเสพติดหรือ?
หากการเล่นอินเตอร์เน็ต ทำให้คุณเสียงาน หรือแม้แต่ทำลาย นักจิตวิทยาชื่อ Kimberly S. Young ได้ศึกษาพฤติกรรม ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างมากเป็นจำนวน 496 คน โดยเปรียบเทียบ กับบรรทัดฐาน ซึ่งใช้ในการจัดว่า ผู้ใดเป็นผู้ที่ติดการพนัน การติดการพนันประเภทที่ถอนตัวไม่ขึ้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับ การติดอินเตอร์เน็ต เพราะทั้งสองอย่าง เกี่ยวข้องกับการล้มเหลว ในการควบคุมความต้องการของตนเอง โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารเคมีใดๆ (อย่างสุรา หรือยาเสพติด) คำว่า อินเตอร์เน็ต ในการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ หมายรวมถึง ตัวอินเตอร์เน็ตเอง ระบบออนไลน์ (อย่างเช่น AmericaOn-line, Compuserve, Prodigy) หรือระบบ BBS (Bulletin Board Systems) และการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้ระบุว่า ผู้ที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 อย่าง เป็นเวลานานอย่างน้อย 1 ปีถือได้ว่า มีอาการติดอินเตอร์เน็ต

รู้สึกหมกมุ่นกับอินเตอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อกับอินเตอร์เน็ต

มีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้น

ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตได้

รู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องใช้อินเตอร์เน็ตน้อยลงหรือหยุดใช้

ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาหรือคิดว่าการใชอินเตอร์เน็ตทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น

หลอกคนในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตของตัวเอง

การใช้อินเตอร์เน็ตทำให้เกิดการเสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ ์ ยังใช้อินเตอร์เน็ตถึงแม้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก

มีอาการผิดปกติ อย่างเช่น หดหู่ กระวนกระวายเมื่อเลิกใช้อินเตอร์เน็ต

ใช้เวลาในการใช้อินเตอร์เน็ตนานกว่าที่ตัวเองได้ตั้งใจไว้
สำหรับผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ที่ไม่เข้าข่ายข้างต้นเกิน 3 ข้อในช่วงเวลา 1 ปี ถือว่ายังเป็นปกติ จากการศึกษาวิจัย ผู้ที่ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างหนัก 496 คน มี 396 คนซึ่งประกอบไปด้วย เพศชาย 157 คน และเพศหญิง 239 คน เป็นผู้ที่เรียกได้ว่า "ติดอินเตอร์เน็ต" ในขณะที่อีก 100 คนยังนับเป็นปกติ ประกอบด้วยเพศชาย และเพศหญิง 46 และ 54 คนตามลำดับ สำหรับผู้ที่จัดว่า "ติดอินเตอร์เน็ต" นั้นได้แสดงลักษณะอาการของการติด (คล้ายกับการติดการพนัน) และการใช้อินเตอร์เน็ต อย่างหนักเหมือนกับ การเล่นการพนัน ความผิดปกติในการกินอาหาร หรือสุราเรื้อรัง มีผล กระทบต่อการเรียน อาชีพ สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของคนคนนั้น ถึงแม้ว่าการวิจัยที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า การติดเทคโนโลยีอย่างเช่น การติดเล่นเกมส์ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับเพศชายแต่ผลลัพธ์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ติดอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง วัยกลางคนและไม่มีงานทำ


เรื่องอณาจารผิดศีลธรรม(Pornography/Indecent Content)

เรื่องของข้อมูลต่างๆที่มีเนื้อหาไปในทางขัดต่อศีลธรรม ลามกอนาจาร หรือรวมถึงภาพโป๊เปลือยต่างๆนั้นเป็น เรื่องที่มีมานานพอสมควรแล้วบนโลกอินเทอเน็ต แต่ไม่โจ่งแจ้งเนื่องจากสมัยก่อนเป็นยุคที่ WWW ยังไม่พัฒนา มากนักทำให้ไม่มีภาพออกมา แต่ในปัจจุบันภายเหล่านี้เป็นที่โจ่งแจ้งบนอินเทอเน็ตและสิ่งเหล่านี้สามารถเข้าสู่เด็ก และเยาวชนได้ง่ายโดยผู้ปกครองไม่สามารถที่จะให้ความดูแลได้เต็มที่ เพราะว่าอินเทอเน็ตนั้นเป็นโลกที่ไร้พรมแดนและเปิดกว้างทำให้สือ่เหล่านี้สามรถเผยแพร่ไปได้รวดเร็วจนเรา ไม่สามารถจับกุมหรือเอาผิดผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้


รู้สึกหมกมุ่นกับอินเตอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อกับอินเตอร์เน็ต

มีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้น

ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตได้

รู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องใช้อินเตอร์เน็ตน้อยลงหรือหยุดใช้

ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาหรือคิดว่าการใชอินเตอร์เน็ตทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น

หลอกคนในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตของตัวเอง

การใช้อินเตอร์เน็ตทำให้เกิดการเสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ์ ยังใช้อินเตอร์เน็ตถึงแม้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก

มีอาการผิดปกติ อย่างเช่น หดหู่ กระวนกระวายเมื่อเลิกใช้อินเตอร์เน็ต

ใช้เวลาในการใช้อินเตอร์เน็ตนานกว่าที่ตัวเองได้ตั้งใจไว้



ไวรัส ม้าโทรจัน หนอนอินเตอร์เน็ต และระเบิดเวลา

ไวรัส : เป็นโปรแกรมอิสระ ซึ่งจะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะทำลายข้อมูล หรืออาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงโดยการแอบใช้สอยหน่วยความจำหรือพื้นที่ว่างบนดิสก์โดยพลการ

ม้าโทรจัน : ม้าโทรจันเป็นตำนานนักรบที่ซ่อนตัวอยู่ในม้าไม้ แล้วแอบเข้าไปในเมืองจนกระทั่งยึดเมืองได้สำเร็จ โปรแกรมนี้ก็ทำงานคล้ายๆกัน คือโปรแกรมนี้จะทำหน้าที่ไม่พึงประสงค์ มันจะซ่อนตัวอยู่ในโปรแกรมที่ไม่ได้รับอนุญาต มันมักจะทำในสิ่งที่เราไม่ต้องการ และสิ่งที่มันทำนั้น ไม่มีความจำเป็นต่อเราด้วย

หนอนอินเตอร์เน็ต : ถูกสร้างขึ้นโดย Robert Morris, Jr. จนดังกระฉ่อนไปทั่วโลก มันคือโปรแกรมที่จะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จากระบบหนึ่ง ครอบครองทรัพยากรและทำให้ระบบช้าลง

ระเบิดเวลา : คือรหัสซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นรูปแบบเฉพาะของการโจมตีนั้นๆ ทำงานเมื่อสภาพการโจมตีนั้นๆมาถึง ยกตัวอย่างเช่น ระเบิดเวลาจะทำลายไฟล์ทั้งหมดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2542

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ผู้ชายร้องไห้

ถ้าไม่นับเด็กผู้ชาย วัยกระเตาะ .. คุณเคยเห็นผู้ชายร้องไห้สักกี่ครั้งในชีวิต..? “
คงเห็นกันได้ไม่บ่อยครั้งนัก
สังคมเป็นตัวบ่งชี้ให้ผู้ชายถูกเลี้ยงดูให้โตมาพร้อมกับความเข้มแข็ง
ไม่ว่าจะมาจากภายในหรือแค่ภายนอกก็ตาม
ลูกผู้ชาย เค้าไม่ร้องไห้กัน
เรามักจะได้ยินมันเสมอๆ ทั้งที่ผู้ชายเองก็รู้สึกได้เท่าๆ กับผู้หญิง ..
แต่เวลาผู้หญิงร้องไห้ กับ ผู้ชายร้องไห้ มันให้ความรู้สึกที่แย่ต่างกัน ...
แต่ถ้ามีคนถามว่า ผู้ชายที่ร้องไห้เนี่ยมันดูอ่อนแอ มากไหม….
คงตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า
ผู้ชายที่ร้องไห้ และ ยอมรับตัวเองว่าร้องไห้ เป็นผู้ชายที่น่านับถือ ที่สุด
เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้หลอกลวงความรู้สึกของตัวเอง …”
แล้วสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายเนี่ย มันมีเหตุผลจากอะไรบ้าง ???????

วันนี้ ฉันทำให้ผู้ชายคนนึงยืนร้องไห้ อยู่ตรงหน้า
ทั้งที่ชีวิตทั้งชิวิตไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้เห็นน้ำตาจากผู้ชายคนนี้ ..
ไม่ว่าชีวิตที่ผ่านมาจะสาหัสสากรรณ์ขนาดไหน
ฮีโร่ในดวงใจผู้ชายที่มีความอดทน และ เข้มแข็งที่สุด ในสายตาฉัน
ผู้ชายที่สอนให้ฉันอดทน เข้มแข็ง และไม่ยอมแพ้ก็อะไรง่ายๆ
สอนให้ฉันรู้จักดูแลตัวเอง และเอาชนะสายตาดูถูกของใครต่อใคร ….
ผู้ชายที่ไม่เคยมีแววตาอ่อนโยน หรือคำปลอบประโลมใดๆ ในยามที่ฉันรู้สึกท้อแท้จนไม่อยากจะทำอะไร
แต่ผู้ชายคนนี้มักมีคำพูดที่ทำให้ฉันได้คิด และลุกขึ้นมาสู้ด้วยตัวของตัวเองเสมอ
ผู้ชายกระด้างไร้หัวจิตหัวใจ ในสายตาฉันเมื่อวันก่อน
วันนี้ฉันทำให้เค้ายืนร้องไห้อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อายใคร
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงรู้สึกแปลกใจกับภาพที่เห็น..
แต่วันนี้ฉันกลับรู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้ผู้ชายคนนี้ต้องร้องไห้
ฉันร้องไห้ไปกับผู้ชายตรงหน้า..
ผู้ชายที่ก่อนหน้านี้ฉันคิดเสมอว่า เค้าไม่เคยรัก ไม่เคยห่วงฉันสักนิด
แต่วันนี้เค้าร้องไห้ ร้องไห้เพื่อฉัน

หลายต่อหลายครั้งที่ฉันร้องไห้เพียงลำพัง กับคำพูด กับการกระทำที่เค้าแสดงออกให้เห็น
เค้าไม่เคยใส่ใจในความเป็นไป หรือความรู้สึกของฉันสักครั้ง
และด้วยเหตุผลนี้หละมั้งที่ทำให้ฉันเองรู้สึกห่างไกลจากเค้า
ทั้งที่เรายังอยู่บ้านเดียวกัน แต่ต่างคนก็ต่างอยู่ ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ..
เค้าทำงาน ฉันก็เรียน ..
และพยายามอย่างที่สุดที่จะทำงานไปด้วยเพื่อช่วยเหลือตัวเอง และจะได้รบกวนผู้ชายคนนี้ให้น้อยที่สุด ….
อีก 20 นาทีข้างหน้าฉันต้องเข้าห้องผ่าตัด เพื่อผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ซึ่งการผ่าตัดครั้งนี้แพทย์รับประกันไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง ภายหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง ..
ฉันอาจจะหาย หรือฉันอาจจะพิการ เป็นอัมพฤก อัมพาต
ตาข้างซ้ายที่มองไม่เห็นเมื่อไม่กี่วันมานี้อาจจะปิดสนิทตลอดไป
หรือฉันอาจต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิททรา ถ้าการผ่าตัดครั้งนี้ล้มเหลว….
ผู้ชายคนเดิม ยืนอยู่ตรงหน้า ถามฉันทั้งน้ำตาว่า
ทำไมลูก ทำไมไม่ยอมบอกพ่อก่อนหน้านี้ ทำไมไม่บอกพ่อสักคำ
ถ้าเป็นเมื่อ 6 ปีก่อนฉันคงตอบด้วยความรู้สึกอยากจะเอาชนะว่า
ไม่คิดว่ามันจะสำคัญอะไรกับใคร
แต่วันนี้ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันโตขึ้น ฉันได้คิด
ฉันได้พิจารณาถึงเหตุ และผลของการกระทำของผู้ชายคนนี้….
เมื่อ 6 ปีก่อน ฉันแอบเห็นพ่อคุยกับรูปภาพของแม่ในห้องพระ
ในคืนวันที่ฉันรับพระราชทานปริญญาบัตร พ่อบอกกับแม่ว่า
วันนี้เป็นวันที่พ่อเป็นสุขที่สุด ลูกเรามีงานดีๆ ทำ เรียนจบและรับปริญญาอย่างที่พ่อหวัง
พ่อหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งกับสิ่งที่ผ่านมา
พ่อนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ก่อนที่จะสวดมนต์ไหว้พระอย่างเคย
ฉันแอบเห็นรอยยิ้มจางๆ ของพ่อในเช้าอีกวันที่ฉันเอาใบปริญญาบัตรที่พ่วงด้วยเกียรตินิยมของฉัน
ไปให้พ่อแทนของขวัญวันเกิดของพ่อ พ่อให้สร้อยและร๊อกเกตที่ทำจากทองคำขาวให้ฉันเส้นนึง ..
ข้างในเป็นรูปของพ่อกับแม่ ฉันไม่เคยถอดมันออกจากคอฉันเลยนับจากวันที่พ่อสวมมันให้กับมือของพ่อเอง
วันนั้นเป็นวันที่ฉันได้พูดคุยกับพ่อได้นานที่สุด พ่อให้ข้อคิดดีๆ มากมายกับฉัน
และที่สำคัญพ่อทำให้ฉันรู้สึกว่าพ่อเองก็รู้สึกว่าฉันเป็นลูกพ่อเหมือนกัน ….

หลังจากวันนั้นฉันพยายามที่จะเรียนรู้ผู้ชายคนนี้มากขึ้น พยายามเข้าใจการกระทำ
และเหตุผลถึงบางครั้งจะเป็นเหตุผลที่ฉันคิดขึ้นเพื่อปลอบใจตัวเอง ฉันพยายามอย่างที่สุดที่แบ่งเบาภาระที่ผู้ชายคนนี้แบกมาทั้งชีวิตให้มากที่ สุดเท่าที่ลูกอย่างฉันจะทำได้ ฉันยอมรับว่าหลายปีที่ผ่านมาฉันทำงานอย่างหนัก ฉันเหนื่อย เหนื่อยมาก
เพื่อแลกกับความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้นของคนในบ้าน
แต่ฉันเองก็ภูมิใจเสมอกับสิ่งที่ตัวเองทำให้ผู้ชายคนนี้
ภาพของการต่อสู้ชีวิตของผู้ชายคนนี้มักจะทำให้ฉันมีกำลังใจเสมอๆ
เวลาที่ตัวเองกำลังจะล้ม หรือ กำลังร้องไห้ …..

แต่แล้ววันนึงฉันก็พบว่า ก้อนเนื้องอกในสมองของฉัน มันเริ่มทำให้ฉันดำเนินชีวิตแบบปกติไม่ได้เสียแล้ว..
ฉันต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนที่สุดตามคำแนะนำของแพทย์….
ฉันตัดสินใจบอกพ่อในคืนวันก่อนผ่าตัดหลังจากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาเป็นปี
พ่อตามมาที่โรงพยาบาล แล้วเข้าไปคุยกับหมออยู่ประมาณ 15 นาทีแล้วกลับเข้าดูฉันในห้องพัก ..
พ่อเงียบ เงียบมาก เงียบเสียจนฉันเดาไม่ออกว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่
พ่อเอาแต่นั่งนิ่งๆ อยู่ข้างๆ เตียงฉัน นั่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเช้า
พ่อมองดูนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดก็ลุกมายืนข้างๆ เตียงฉัน มองหน้าฉัน
พูดพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย
ทำไมลูก ทำไมไม่ยอมบอกพ่อก่อนหน้านี้ ทำไมไม่บอกพ่อสักคำ
ฉันขอโทษผู้ชายตรงหน้าทั้งน้ำตา
และอธิบายถึงสิ่งที่ฉันคิดให้เค้าฟัง
ฉันคิดไปสารพัดตั้งแต่ วันแรกที่ฉันทราบจากหมอว่าฉันเป็นโรคนี้
ระหว่างการที่ฉันพูดกับการที่ฉันเงียบ อย่างไหนที่จะทำให้พ่อเจ็บปวดน้อยที่สุด
แล้วฉันก็เลือกที่จะเงียบ และเก็บเรื่องนี้ไว้เพียงคนเดียว
ฉันกลัวจะทำให้พ่อเป็นห่วง เป็นกังวล ไปกับเรื่องราวของตัวเอง
และไม่อยากให้พ่อมาเป็นทุกข์ ไม่สบายใจ หรือลำบากเพื่อฉันอีกแล้ว
หลังจากที่รู้ฉันก็พยายามแล้วที่จะหาทางรักษามัน แต่พระเจ้าไม่เข้าข้างฉัน
ฉันจึงต้องทำให้พ่อเป็นทุกข์อยู่อย่างนี้

ฉันจำได้ในสิ่งที่พ่อบอกพ่อสอน พ่อสอนให้ฉันเข้มแข็ง สอนให้ฉันสู้ สอนให้ฉันไม่ยอมแพ้
และวันนี้ เวลานี้ฉันก็กำลังต่อสู้กับโรคบ้าๆ นี่ด้วยความหวังว่าฉันจะต้องหาย เพื่อกลับมาดูแลพ่อ
เพื่อให้พ่อได้อยู่อย่างสบายกว่าทุกวันนี้ พ่อเหนื่อยมาพอแล้ว เหนื่อยมาทั้งชีวิตก็ว่าได้
ฉันอยากเห็นพ่อเป็นสุข และสบายกว่านี้ ฉันจึงทำทุกอย่าง อดทน และเข้มแข็ง
และนี่ก็คงจะเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งที่จะพิสูจน์ความตั้งใจจริงของฉัน…..
พ่อกอดฉัน พร้อมพูดทั้งน้ำตาว่า ..
พ่อขอโทษ ที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับรู้สึกหรือความเป็นไป ของลูกเลย
พ่อคิดเสมอว่าลูกเป็นคนเก่ง ลูกเข้มแข็ง และลูกก็เอาตัวรอดได้ในสังคมทุกวันนี้
ขณะที่น้องของลูกไม่เหมือนลูก น้องยังเป็นเด็กไม่รู้จักโต พ่อถึงห่วงน้อง ดูแลน้อง
จนบางครั้งก็ดูเหมือนพ่อเป็นห่วงลูกน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่พ่อก็รักลูกนะ
พ่อรู้ว่าลูกทำทุกอย่างเพื่อน้องเพื่อพ่อ หลายต่อหลายครั้งที่พ่อทำให้ลูกร้องไห้
แต่พ่ออยากให้ลูกรู้ว่าพ่อต้องการให้ลูกเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของน้องเพราะพ่อไม่รู้ว่า
พ่อเองจะอยู่กับลูกไปได้นานแค่ไหน แต่จำไว้นะลูก ว่า พ่อรักลูก ไม่ได้น้อยไปกว่าน้องเลย
ขอบคุณค่ะพ่อ หนูก็รักพ่อ รักที่สุด
เรากอดกันทั้งน้ำตา ฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างที่สุด
ฉันจำได้ว่าพ่อไม่เคยกอดฉันเลยนับจากวันที่แม่จากไปเมื่อ 18 ปีก่อน
ไม่ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน
ฉันรู้แต่ว่าวินาทีนี้ฉันต้องสู้ ต้องเข้มแข็ง ฉันจะเป็นอะไรไปไม่ได้
ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อผู้ชายที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้าผู้ชายที่ฉันรักที่สุด


รอยบนผืนทราย

เพื่อนสนิทสองคนเดินทางท่องเที่ยวร่วมกัน
ระหว่างยํ่าเท้าผ่านทะเลทราย

ทั้งสองโต้เถียงกันรุนแรงจนเพื่อนคนหนึ่งโมโหมาก

ตบหน้าเพื่อนอีกคน ผู้ถูกตบหน้าเจ็บปวดทั้งกายและใจ

เขาไม่พูดอะไรเลย ขณะที่เขียนข้อความหนึ่งลงบนทราย


"
วันนี้...เพื่อนที่ดีที่สุดของฉันตบหน้าฉัน"

ทั้งคู่เดินทางต่อไป เมื่อพบโอเอซิสแห่งหนึ่งจึงตัดสินใจอาบนํ้า

เพื่อนคนที่ถูกตบหน้าพลัดตกนํ้าและจมลงเรื่อยๆ

อีกคนจึงรีบช่วยเพื่อนให้พ้นความตาย เมื่อหายตกใจแล้ว

คนจมนํ้าก็เขียนข้อความลงบนก้อนหิน


"
วันนี้...เพื่อนที่ดีที่สุดของฉันช่วยชีวิตฉันไ ว้"

เมื่อเพื่อนถาม เพื่อนก็ยิ้มแล้วตอบว่า


"
เมื่อเพื่อนทำร้ายเรา เราจะบันทึกไว้บนผืนทราย

เพื่อให้สายลมแห่งการให้อภัยลบความเจ็บปวดนั้นทิ้งไป

และเมื่อเพื่อนทำในสิ่งประเสริฐสุดให้

เราจะจารึกไว้บนก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ

ซึ่งลมพายุไม่สามารถลบมันออกได้..."


เพราะ.....".เพื่อนแท้มิได้หาง่ายๆเหมือนแฟน " ว่ามะ?

ปัญหาปี ค.ศ.2000 y2k

         ในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์มีบทบาทสำคัญในการนำมาใช้งานเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการทำงานในทุกๆด้านของโลกปัจจุบันทั้งงานของรัฐบาลบริษัทเอกชน องค์กรต่างๆ ทั่วโลก หน่วยงานต่างๆเหล่านี้กำลังเผชิญกับปัญหาจากระบบคอมพิวเตอร์ อันสืบเนื่องมาจากการมาถึงของปี ค.ศ. 2000 หรือที่ เรียกกันว่า " ปัญหาY2K " หรือ " ปัญหา MilleniumBug "ซึ่งทุกวินาที่ที่ผ่านไปในปี ค.ศ.1999นี้ล้วนมีความ หมายต่อความอยู่รอดของทุกองค์กรเป็นปัญหาทางธุรกิจและอุสาหกรรมจึงมีสื่อหลายแขนงที่ คอยให้ข้อมูลในการแก้ปัญหาY2Kสำหรับภาคอุตสาหกรรมซึ่งสำคัญมาในแต่ละประเทศก็ได้รับ ความสนใจไม่น้อยเพราะปัจจุบันเทคโนโลยีทางไมโครโพรเซสเซอร์(Microprosseser) ได้เข้าไป อยู่ในทุกโรงงานอาทิเช่น ในอุปกรณ์ควบคุมอย่าง PLC และระบบอัตโนมัติทั้งหลาย ,ระบบรักษา ความปลอดภัย ,ระบบควบคุมลิฟต์ ,ระบบควบคุมคลังสินค้า ,ระบบป้องกันเพลิงไหม้ และระบบ อิเล็กทรอนิกส์ และอื่นๆอีกมากที่ต้องได้มีการประเมินและสำรวจ ปัญหาY2K จึงน่าเป็นห่วงมากถ้าขาดความสนใจจากผู้ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมเพราะความเสียหายที่ จะเกิดขึ้นหลังเที่ยงคืนวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ.1999 อาจร้ายแรงเกินกว่าจะรับมือได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจ กล่าวได้ว่าเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่ตั้งไว้ตั้งแต่มีระบบคอมพิวเตอร์เกิดขึ้น บทความนี้จึงต้องการให้ ผู้ดำเนินธุรกิจและองค์กรต่างๆเริ่มต้นแก้ปัญหาได้ถูกต้องและรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าปัญหา Y2K แสดง ผลในปี ค.ศ. 2000

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553



                                          สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศ ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน เวลา 05.30 น. พ.ศ. 2553 เตือนภัย "พายุดีเปรสชันในอ่าวไทย " ฉบับที่ 8




                      เมื่อเวลา 05.00 น. วันนี้ (2 พ.ย) พายุดีเปรสชันบริเวณ จังหวัดตรัง โดยมีความเร็วสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 50 กม./ชม. พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 15 กม./ชม. คาดว่า จะเคลื่อนตัวในแนวจังหวัดกระบี่ และภูเก็ต ต่อจากนั้นจะเคลื่อนลงสู่ทะเลอันดามัน ในเช้าวันนี้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานีลงไปมีฝนตกเป็นบริเวณกว้าง และมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ รวมทั้งคลื่นลมแรงโดยมีคลื่นสูง 3-5 เมตร


ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำ ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักที่ทำให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่ง รวมทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลของภาคใต้ฝั่งตะวันออกระมัดระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าสู่ฝั่ง ชาวเรือควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้
อนึ่ง ในระยะ 3-4 วันนี้ บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนยังคงแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย

ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไปกับมีลมแรง สำหรับภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิต่ำสุด 12-16 องศาเซลเซียส ส่วนบริเวณยอดดอยและยอดภู อุณหภูมิต่ำสุด 6-12 องศาเซลเซียส จึงขอให้ประชาชนติดตามข่าวพยากรณ์อากาศและเตือนภัย จากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ผู้อำนวยการ [N] director ; chief; head; leader; administrator




บุคลากร [N] personnel ; staff; crew



โรงเรียนเอกชน [N] private school



โรงเรียนรัฐบาล [N] government school



รองผู้อำนวยการ [ N ] deputy director



ครู [ N ] teacher

[ English ]instructor; school teacher [ Syn ] คุณครู, อาจารย์, ครูบาอาจารย์ [ Ant ] นักเรียน [ Sample] เมื่อเด็กโตขึ้นจะมีครูเป็นเครื่องถ่ายทอดค่านิยมของสังคมให้ [ Def ] ผู้สั่งสอนศิษย์, ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ [ Num ] คน



ครูใหญ่ [ N ] headmaster

[ English ]headmaster in school [ Syn ] อาจารย์ใหญ่ [ Ant ] ครูน้อย [ Sample] การปกครองสถาบัน เช่น สถาบันการศึกษา ต้องมีครูอาจารย์ และนักเรียน มีครูใหญ่ ครูน้อย ตามลำดับ [ Def ] ผู้เป็นหัวหน้าคณะครู [ Num ] คน



นักเรียน [ N ] student

[ English ]learner; pupil; scholar; disciple; undergraduate [ Sample] การเรียนการสอนในปัจจุบันจะยึดความต้องการของนักเรียนเป็นหลัก [ Def ] ผู้ศึกษาเล่าเรียนจากโรงเรียน [ Num ] คน



ภารโรง [ N ] janitor

[ English ]watchman; caretaker [ Syn ] นักการภารโรง, นักการ [ Sample] แม้ภารโรงจะเป็นเพียงลูกจ้าง แต่สิทธิพิเศษต่างๆ ที่ภารโรงและครอบครัวได้นั้น ไม่แตกต่างจากข้าราชการประจำเท่าไร [ Def ] ผู้รักษาและทำความสะอาดสถานที่ [ Num ] คน



แม่ครัว [ N ] female cook

[ Syn ] กุ๊ก, คนทำอาหาร, คนประกอบอาหาร, คนปรุงอาหาร [ Ant ] พ่อครัว [ Def ] คนทำอาหาร (ผู้หญิง)

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

เสียงขอบคุณอย่างสุดซึ้ง




ผู้ปลดปล่อยชีวิตสัตว์...

คือ ผู้โปรดคน โปรดสัตว์...



เป็นผู้บำเพ็ญจิตเมตตาอันเป็นปณิธานของพระโพธิ์สัตว์...



ผู้ไม่ฆ่า



คือ ผู้มีมนุษยธรรม...



หากมนุษย์สามารถพัฒนาจิตใจเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม...

โลกก็จะปราศจาก…



สงคราม..การรบราฆ่าฟัน..ล่อลวง...

แน่นอนทีเดียวบาปและเวรกรรมก็จะลดน้อยลง...



สรรพสัตว์จะบังเกดิความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง...

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

ภัยเงียบ..! ภัยร้าย..! ป้องกันได้ ไวรัสตับอักเสบ
ซี







                ในปัจจุบัน โรคภัยไข้เจ็บต่างๆพัฒนาตามการพัฒนาเทคโนโลยีของมนุษย์และการพัฒนาก็ทำให้ค้นพบโรคใหม่ๆ (ที่มีมาก่อนนานแล้วและพัฒนาขึ้นมาใหม่) และยังมีโรคอีกจำนวนมากที่คนไม่สามารถล่วงรู้เงื่อนงำของมันได้



ไวรัสชนิดนี้ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2532 นี่เอง โดยแพทย์ชาวสหัฐอเมริกา เป็นไวรัสตัวอักเสบที่ติอต่อได้ทางเลือดและเป็นอาร์เอ็นเอไวรัส สายเดี่ยว ขนาดเล็ก พลตรีนายแพทย์อนุชิต จูฑะพุทธิ เลขาธิการมูลนิธิโรคตับแห่งประเทศไทยโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวถึงไวรัสตับอักเสบซี ว่า




ไวรัสตับักเสบ ซี มีความสำคัญแค่ไหน




องค์การอนามัยโลกได้ประมาณว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เรื่อรังราว 170 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยเราพบโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 1 – 2 โดยพบทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากกว่าภาคอื่น ไวรัสตับอีกเสบ ซี นี้มีสำคัญไม่ด้ยกว่าไวรัสตับอักเสบ บี ได้พบมานานแล้ว และมีการฉีดวัคซีนป้องกันได้กว้างขวาง ทำให้การควบคุมประสบสำเร็จสูง ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี ยังไม่มีวัคซีนป้องกันได้ลัยังไม่พบว่ามีแนวโน้มที่จะค้นพบในเวลาอันใกล้นี้


ผู้ป่วยจากอาการไวรัสตับอักเสบ ซี เรื้อนังเกือบทุกรายจะมีอาการอักเสบของตับ และทำให้ตับส่อมสภาพลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่ไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรังส่วนใหญ่ไม่มีอาการอักเสบของตับ โดยพบเพียงร้อยละ 15 – 25 เท่านั้นที่มีอาการอักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง




ใครคือผู้ที่เสี่ยงติดไวรัสตับอักเสบ ซี


1. ผู้ที่มีประวัติได้รับเลือด หรือส่วนประกอบจากเลือดเช่น พลาสมา (น้ำเลือด) หรือเกล็ด ที่อาจเกิดจากการเสียเลือด หรือป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เคยได้รับเลือด หรือป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เคยได้รับเลือดก่อนการค้นพอไวรัสตับอักเสบ ซี




2. ผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด



3. การสัก การเจาะตามร่างกาย สักคิ้ว ไม่ใช้ของมีคมที่สัมผัสผิวหนังรวมกัน เช่น มีดโอน กรรไกรตัดเล็บแปลงสีฝัน ฯลฯ



4. กลุ่มผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการฟอกไตมาเป็นเวลานาน



5. การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ติดจากแม่ไปสู่ลูก(พบได้น้อยมาก)

เมื่อไวรัสตับอักเสบ ซี เข้าสู่ร่างกายจะเกิดอะไรขึ้น


เมื่อไวรัสตับอักเสบ ซี เข้าสู่ร่างกาย จะมีระยะฟักตัว 6-8 สัปดาห์ จึงเริ่มมีอาการตับอักเสบ จะมีผู้ป่วยประมาณ10 -15 เปอรืเซ็นต์ ที่มีอาการตัวและนัย์ตาเหลือง หรือเป็นดีซาน มีอาการคล้ายๆ เป็นไข้หวัดใหญ่ อ่อนเพลียมาก รู้สึกเบื่ออาหาร คลื่อนไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ผู้ป่วยเองส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง โดยที่ยังมีไวรัสอยู่ในร่างกายตลอดเวลา และจะมีอาการอักเสบของตับขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา ของผู้ป่วยถึงร้อยละ 85 และมีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อยแค่ร้อยละ 15 ที่อาจจัดการไวรัสได้หมดผู้ป่วยร้อยละ 20.30 จะเกิดอาการตับแข็งหลังจากได้รับเชื้อแล้ว 20 ปี


ปัจจัยที่กระตุ้นให้มีอาการรุนแรงขึ้น เช่น ได้รับเชื้อตอนที่อายุมากแล้ว ติดเชื้อจาการได้รับเลือด ดื่มเหล้า




อาการที่เกิดจากตับแข็ง


1. เมื่อตับไม่สามารถสร้างสารอาหารพลังงานและทำลายสารพิษต่างๆ ได้ตามปกติ มีผลให้อ่อนเพลียเบื่ออาหาร น้ำหนักลด คลื่นไส้ เท้าบวม บางรายมีน้ำในช่องท้อง (ท้องมาน) ตัวเหลือง ผิวแห้ง คันตามตัว หรือมีจ้ำเลือดง่าย ไวต่อสารพิษมาก ป่วยหรือติดเชื้อโรคง่ายถ้าเป็นมากตับจะหยุดทำงาน




2. มีพังผืดหรือแผลในตับมากขึ้น จะอาการอาเจียนเป็นเลือด จากภาวะหลอดเลือดป่งพองในหลอดอาการมีอาหารม้ามโต เพราะเลือดจากม้ามไหลกลับไปสู่ตับได้ช้าลง ถ้าม้ามโตมากๆ จะเกิดอาการกินเม็ดเลือด ทำให้ซีดหรือเกล้ดเลือดต่ำ



หลังจากผู้ป่วยเป็นตับแข็งแล้ว อาการจุรุนแรงมากขึ้นและจะทรุดลงตามลำดับ และจะมีโอกาศเสียชีวิตได้สูงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง เช่น อาเจียนเป็นเลือด จะมีอาการติดเชื้อรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการติดเชื้อในช่องท้องภาวะตับวาย และผู้ที่เป็นตับแข็งนี้ยังมีโอกาศเป็นมะเร็งตับได้สูงร้อยละ 2 -4 ต่อปี


ทราบได้อย่างไรว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ ซี


ส่วนใหญ่นั้นจะรู้ว่าเป็นโดยบังเอิญ เช่น จากการตรวจร่างกายประจำปี การบริจากเลือด เมื่อตรวจพบว่าตับทำงานผิดปกติ แพทย์จะตรวจว่าเป็นเพราะอะไร ในผู้ป่วยบางรายอาจได้รับวัรัสในระยะที่เกิดตับแข็งแล้ว หรือโรคเป็นมะเร็งจากตับแข็ง เช่น ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด หรือเป็นมะเร็งตับแล้ว ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจตับและหาไวรัสตับต่างๆ




การป้องกัน



ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตักเสบ ซี ทางที่ดีจึงเป็นการป้องกันเป็นหลัก โดนหลี่กเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

การตรวจหาผู้ป่วย


เพราะระยะแรกของโรคนั้นไม่แสดงอาการ จึงต้องตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี และถ้าจำได้ว่าเคยดัรับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดก่อนปี 2533 ผู้ที่สำส่อนทางเพศ พวกที่ชอบสัก เจาะเนื้อตัวทั้งหลาย ให้ไปตรวจร่างกายไว้ก่อนได้เลยและถ้าพบว่าการทำงานของตับผิดปกติจะได้ทำการรักษาได้ทัน




การตรวจวินิจฉัยว่าคุณเป็นไวรัสตับอักเสบ ซี อาจทำได้ 2 วิธี



1. การตรวจจากน้ำเหลือง คือ การตรวจแอนติบอดี้ต่อไวรัสตับอักเสบ ซี



2. ตรวจกาโดยตรงจากการตรวจหาอาร์เอ็นเอ ของไวรัส



สำหรับการตรวจสายพันธุ์ของไวรัสตับอักเสบ ซี พบว่าสายพันธุ์ของมันมีความสัมพันธุ์อย่างมากกับความสำเร็จของการรักษา โดยพบว่า ไวรัสตับอักเสบ ซี อาจบ่งได้ 6 สายพันธุ์หลัก และมีสายพันธุ์ที่ง่ายต่อการักษาเพียง 5-6 เดือนก็หายได้แล้ว


เมื่อป่วยต้องทำอย่างไรดี


1. ไม่เป็นผู้แพร่เชื้อ ไม่ให้เลือด ไม่เจาะ ไม่สัก ไม่ใช้ ของที่ปนเปื้อนของเหลวกับคนอื่น การร่วมเพศก็ต้องสวมถุงยางอนามัย แล้วทำการรักษาให้หายขาด




2. ดูแลเรื่องอาการการกินให้สะอาด ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่เลย



3. หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่ทำอันตรายต่อตับ ต้องแจ้งแพทย์ให้รู้ ไม่ควรใช้สมุนไพรบางอย่าง เช่น ใบขี้เหล็ก บอระเพ็ด เพราะพบว่าอาจทำให้เกิดตับอักเสบได้



4. ควรไปพบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อการรักษาและประเมินการทำงานของตับทุก 3 – 6 เดือน หรือกว่านี้ตามอาการ



 การรักษา
 
 
เป้าหมายคือ ทำให้ไวรัสตับอักเสบ ซี ตัวนี้หมดไปจากร่างกาย ตับก็จะค่อยๆ คืนความปกติ ยาที่ใช้ในการรักษาได้ผลดี 2 ตัวที่ขอแนะนำ และไม่เป็นอีกหลังหยุดยาคือการให้ยา 2 ตัวร่วมกันเป็นยาฉีดในกลุ่มอินเตอร์เฟอรอนกับยากิน ไรบาไวริน




อินเตอร์เฟอรอน คือ

เป็นโปรตีน สามารถผลิตได้โดยภูมิต้านทานของเราในปริมาณจำกัด จะทำการต่อต้านหรือกำจัดไวรัสตับอักเสบ ซี การออกฤทธิ์โดยทั่วไปจะไปเสริมให้การทำลายไวรัสบางชนิดรวมถึงไวรัสตับอักเสบ บี และซี เสริมการทำงานของภูมิต้านทาน ปัจจุบันได้พัฒนายาชนิดนี้เป็น เพ็คกิเลตเตดอินเตอร์เฟอรอน ที่มีปะสิธิภาพการักษาที่สูงกว่าการออกฤทธิ์และยาวนานขึ้น มีผลข้างเคียงน้อยกว่า



ไรบาไวริน คือ เป็นยาที่มีโครงสร้างคล้ายนิวคลีโอไซด์ เป็นสารในการสร้างอาร์เอ็นเอ หรือดีเอ็นเอของไวรัส

ปัจจุบันมาตรฐานการักษานั้น โดยการใช้ยาเพ็คกิเกตเตด อินเตอร์เฟอรอน ร่วมกับไรบาไวรินเป็นเวลา 24 สัปดาห์ในกรณีไม่ใช่ไวรัสสายพันธุ์ที่ 1 และถ้าเป็นสายพันธุ์ที่ 1 จะใช้ประมาณ 48 สัปดาห์ ก็หาย



ภัยเงียบ! ภัยร้าย! ป้องกันได้ วรัสตับอักเสบ ซี แม้จะไม่ทำลายร่างกายโดยเฉียบพลัน แต่ปล่อยไว้ก็ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต






 























วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553


เพื่อนมีกี่แบบ ใครที่ควรคบ

              " เพื่อน " เป็นส่วนสำคัญของมนุษย์ทุกคน บางคนจะเป็นจะตายก็เพราะเพื่อนนี่แหละเป็นผู้ชี้ขาด ไม่ใช่พ่อแม่พี่น้อง หรือสมาชิกในครัวเรือน เพราะธรรมชาติของมนุษย์ สามารถพูดคุยทุกเรื่องกับเพื่อนได้ แต่กับคนในครอบครัวกลับไม่กล้า แต่ใช่ว่ามีเพื่อนมากจะดีเสมอไป เพราะมีเพื่อนมาก เรื่องก็ย่อมมากตามจำนวนเพื่อน ตรงข้ามหากไม่มีเสียเลย ให้อยู่คนเดียวคงเหงาไม่ใช่เล่น


ยิ่งยุคนี้เศรษฐกิจฝืด เคือง มีเพื่อนเอาไว้บ่นเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ยังดีกว่าไม่มีที่ระบาย จากการรวบรวมด้วยการจำแนกเพื่อนออกตามสันดาน เอ๊ย...ลักษณะนิสัยต่างๆ จากบันทึกของคนสมถะเอง " เพื่อน" มีหลายชนิดมาก ท่านผู้ชม นับตั้งแต่


  • เพื่อนที่แสนจะเอาเปรียบ ไล่เรียงมาตั้งแต่เห็นแก่ตัว , เห็นแก่ได้ และเห็นแก่กิน แม้จะไม่อยากมีเพื่อนประเภทนี้เท่าไหร่ แต่ไม่รู้เป็นไง ทุกคนเป็นต้องมีเพื่อนอย่างนี้ปะปนอยู่เสมอกระนั้น อันความเห็นแก่ตัว ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เพราะมนุษย์ทุกคน มีสัญชาตญาณของการรักษาตัวรอดเป็นยอดดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าดีกรีของความเห็นแก่ตัวไม่แรงกล้าเท่าไหร่ จะมีคนอยากคบค้าสมาคมกับเรามากขึ้น




           การมีเพื่อนแบบนี้ (ไม่รู้ว่าสมควรให้เป็นเพื่อนดีไหม) ก็เก๋ไปอย่าง เพราะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้รู้จักความเป็นคนมากขึ้น หากมัวแต่มีเพื่อนดีๆ แต่ไม่มีเลวซะเลย เราคงมองไม่เห็น เส้นแบ่งระหว่างสองสิ่งนี้สิจ๊ะ


 
 
  • เพื่อนช่างนินทา-พูดจา ไร้สาระ แบบนี้ยิ่งหาง่ายเข้าไปใหญ่ ในสังคมต้องมีคนเหล่านี้ ไม่งั้นคงแห้งแล้งน่าดู การนินทาก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่า สามารถพูดได้ทั้งเรื่องจริงและไม่รู้จริง คนฟังก็ควรไปเจาะหูให้เกิดน้ำหนักถ่วงดุล เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ ไว้ล่วงหน้า
 
 
  • เพื่อนปากร้าย ใจดี อย่างนี้น่าคบกว่าเพื่อนที่ปากและใจร้ายทั้งคู่
 
 
  • เพื่อน ปากหวาน ดูดี แต่ร้ายลึก  หาได้ตามองค์กรทั่วไป แต่เชื่อขนมกินได้ว่า คนแบบนี้ต้องมีอย่างอื่นดีสักประการหนึ่ง ไม่งั้นคงไม่มีใครอยากคุยด้วย
 
 

  • เพื่อน ซื่อสัตย์และจริงใจ เป็นสุดยอดปรารถนาที่ทุกคนหมายปอง






เพื่อนๆๆว่าจริงมั้ยคะ

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เพื่อนสนิท ... ก็คือ เพื่อนธรรมดาๆคนนึง ที่ดันสนิทกันมากกว่าเพื่อนธรรมดาๆทั่วๆไป ... ซึ่งมันก็ต้องมีอะไรหลายๆอย่าง ที่คล้ายๆกับเรามากกว่าเพื่อนคนอื่น ... ถึงจะมาสนิทกันได้ ... บางที อาจไม่ใช่นิสัย ... บางที อาจไม่ใช่หน้าตา ... บางที อาจไม่ใช่ฐานะ ... บางที อาจไม่ใช่ระดับความรู้ ... แต่มันอาจจะมีอะไรบางอย่าง ที่ต้องเป็น มั น ค น นี้ เ ท่ า นั้ น ที่ มี . . ... บางครั้ง ... เราก็ไม่ไป ที่ที่เราอยากไป ... เพียงเพราะว่า มันไม่ไปด้วย ... บางครั้ง ... นั่งเงียบอยู่ได้ตั้งนาน แต่แค่เห็นหน้ามัน ... น้ำตาที่กลั้นไว้แทบตาย กลับทะลักออกมาได้จนหมด ... บางครั้ง ... ถ้ามีเสียงหัวเราะของมันด้วย ... เราจะหัวเราะได้ดังกว่านี้ ... บางครั้ง ... ร้อยคำปลอบใจของใครก็ไม่รู้ ... ยังอุ่นใจไม่เท่ามือมันที่แค่ตบเบาๆที่หัวไหล่ บอกเป็นนัยๆว่า กรูอยู่ตรงนี้ ... ... ชอบคำๆนึงที่บอกว่า . . . . . เ ร า ไ ม่ ไ ด้ เ ป็ น แ ค่ เ พื่ อ น . . . . . แ ต่ เ ร า เ ป็ น ตั้ ง เ พื่ อ น ต่ า ง ห า ก . . ... เพราะเพื่อนมีความสำคัญมากๆ ... มากจนบางคนแยกไม่ออก เอาไปเปรียบเทียบกะแฟน ว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ... ทั้งๆที่มันคนละเรื่องกันเลย ... แต่เมื่อเวลาที่เราอยู่ในห้วงของความรัก ... เพื่อน ... จะกลายเป็นส่วนเกินของโลกส่วนตัวเราทันที ... ไอ้เพื่อนสนิทเรา มันคงจะชินแล้ว ... ที่เวลาเรามีรักทีไร เราก็จะห่างๆมันไปทุกที ... เวลาที่จะกลับมานึกถึงมันได้อีกที ... ก็ตอนอกหักนู่นแหละ ... ก็เคยคิดเหมือนกันนะ ... ถ้าเราเป็นมัน จะรู้สึกยังไง ... คงจะประมาณว่า ... ' แม่ง ... พอมีแฟนก็ลืมเพื่อน' ... นี่ กะกรูไม่เคยช่วยห่ าไรเลย ทีกะแฟนแมร่งแทบถวายหัว' ... ' ต้องเลิกกะแฟนก่อนถึงจะจำเบอร์โทรกรูได้ใช่ไหม สราดดด' ... คิดๆดูแล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ... เพราะเวลาที่กำลังมีความสุขในห้วงของความรัก ... ก็แทบไม่ได้จะไปเที่ยวไหนกับมันเลย ... นานๆถึงจะได้คุยกันที ... แต่พอผิดหวัง พอเจ็บตัวขึ้นมา ... นาทีนั้นอยากกดโทรศัพท์ไปหามันก่อน ... อยากให้มันรับโทรศัพท์ก่อน ... ซึ่งบางทีมันนอนไปแล้วเราก็จะไล่มันกลับไปนอน ... ไม่ต้องตื่นขึ้นมาฟังเรื่องราวใดๆทั้งนั้น ... ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แค่มันรับโทรศัพท์ ก็พอแล้ว ... แบบนี้ละมั้งที่เค้าว่า ... ' เพื่อน คือคนที่สามารถนั่งอยู่ด้วยกันโดยไม่พูดอะไรสักคำ ' ... ' แต่ลุกจากกันไปได้เหมือนคุยกันไปนับล้านคำ ' ... ' เพื่อน ' ... ' คือคนที่เมื่อเราสุข เราไม่เห็นมันอยู่ในสายตา ' . . . ' แ ต่ เ ป็ น ค น ไ ม่ มี วั น ป ล่ อ ย ใ ห้ เ ร า ล้ ม ลง ไ ม่ ว่ า เ ร า จ ะ ไ ป เ จ็ บ ม าจ า ก ไ ห น . . .
เมื่อต้องเจอเพื่อนร้าย
“เมื่อเจอสุนัขดุ คงไม่มีใครยื่นมือไปให้มันกัด
เมื่อเจอคนที่พร้อมจะทำร้ายเรา
เราก็ไม่ควรเอาตัวเองไปอยู่ไกล้ให้เขาทำร้ายได้ง่ายๆเหมือนกัน”

ใคร ๆ ก็คงอยากมีเพื่อนที่ดี เพื่อนที่รักกันไปจนถึงวันตาย
เพื่อนที่ไม่เคยมีคำว่าหักหลังหรือทำให้เราเสียใจเพื่อน…ที่จะทำให้เราภูมิใจที่ได้รักกัน
แต่ในความเป็นจริงที่เราต้องเจอ คงไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเพื่อนที่ดีของเรา
บ่อยครั้ง เราอาจแจ๊กพอตแตก ไปเจอเพื่อนที่ไม่ควรค่าแก่การที่เราจะเรียกเขาว่า “เพื่อน”
คนที่เอาเราไปนินทาลับหลัง คนที่ต่อหน้าทำเหมือนหวังดีต่อเรา
แต่เผลอเมื่อไหร่เป็นต้องทำให้เราเสียใจ เพื่อนที่คิดเอาเปรียบเราอยู่เสมอ
หลายคนพอเจอเพื่อนร้ายแบบนี้เข้า ก็ได้แต่นั่งร้องไห้ เกิดคำถามว่าทำไมเขาต้องทำร้ายเรา
ทั้งที่เรามอบความจริงใจให้ ทำไมถึงได้แต่สิ่งเลวร้ายเป็นการตอบแทน???
เมื่อเห็นฝนตก มันคงยากที่เราจะไปหยุดฝน แต่มันไม่ยากที่เราจะเลือกกางร่มให้ตัวเอง ไม่ให้เปียกปอน
เช่นเดียวกับเรื่องความสัมพันธ์ มันคงยากกับการเปลี่ยนใครให้เป็นอย่างเราต้องการ
แต่มันไม่ยากที่เราจะเปลี่ยนหัวใจตัวเองให้เข้มแข็งพอที่จะรับมือกับเรื่องที่อาจไม่เป็นดังหวัง
กับคนที่ไม่ได้หวังดีต่อเรา เราคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้
เพราะบางคน ต่อให้เราทำดีแค่ไหน เขาก็สามารถมองว่ามันเลวร้ายได้ ต่อให้เราพยายามเอาชนะใจเขาแค่ไหน
เขาก็ยังเห็นเราเป็นแค่คนที่ไม่ควรได้รับสิ่งดีๆในมิตรภาพ
ฉะนั้น แทนที่จะไปพยายามเปลี่ยนแปลงเขา เราจึงน่าจะเปลี่ยนแปลงความคิดของเราให้เลิกแคร์ เลิกใส่ใจคนแบบนั้นดีกว่า
แทนที่จะมานั่งเสียใจ ตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงทำร้ายเรา
และพยายามเปลี่ยนแปลงทุกอยากให้ดีขึ้นทั้งที่เป็นไปไม่ได้
มันจึงน่าจะดีกว่า ถ้าเราจะเดินออกมาจากความสัมพันธ์นั้น แล้วเลือกแคร์แค่คนที่รักเรา
คนที่มีความปรารถนาดีต่อเรา และเกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนแท้ของเรา
เพราะการที่สูญเสียเพื่อนที่ร้าย ๆไปสักคนสองคน คงไม่ใช่เรื่องใหญ่มากเกินไป
และบางที่ ฟ้าก็จงใจส่งคนร้ายๆ มาพบกับเรา
เพื่อให้เราเรียนรู้ที่จะสร้างภูมิต้านทานให้ตัวเองเพื่อรับมือกับคนร้าย ๆ ที่มีอยู่มากมายบนโลกใบนี้ให้ได้ก็เท่านั้น
หันหลัง เดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผย
เลิกแคร์คนที่ไม่สมควรแคร์อย่างเขา แล้วเราก็จะพบว่า
เมื่อเลิกเอาใจไปจับจ้องอยู่กับคนใจร้าย เราก็จะมองเห็นคนดี ๆ ที่รักเราอยู่รอบกาย

แล้วคนเหล่านั้นก็จะมีค่ามากกว่าคนที่ไม่เห็นค่าในมิตรภาพของเราที่มอบให้

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคการเตรียมตัวสอบ



TEXT:ATOM

ใกล้สอบ จะใช้เทคนิคนี้ในการเตรียมตัวสอบทั่วไป หรือสอบ A-NET, O-NET ก็ไม่ว่ากันนะคะ ยังก็ขอให้สอบผ่านกันถ้วนหน้าแล้วกัน ^^ เริ่มกันเลยแล้วกัน วันนี้อะตอมมี 4 เคล็ดลับมาฝากค่ะ

1. ทำตารางสอบ
: โดยจดวันและเวลาที่สอบไว้ให้ชัดเจน

2. อ่านตำราโดยจัดลำดับตามตารางสอบ (ในข้อ 1)
: โดยเริ่มอ่านจากวิชาที่สอบวันแรก ไปจนถึงวันสุดท้าย และควรอ่านให้จบก่อนถึงวันสอบประมาณ 4 วันหรือมากว่านั้น และอ่านทบทวนอีกครั้งในวันสุดท้ายก่อนที่จะถึงวันสอบวิชานั้นๆ

3. พูดคุยกับเพื่อนๆ
: ไม่ใช่ชวนกันคุยเรื่องแฟชั่น เสื้อผ้า ดูหนัง หรือฟังเพลงนะคะแต่เป็นการพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาที่เราจะสอบ ถ้าจะให้ดีควรหากลุ่มเพื่อนสนิทแล้วเริ่มอ่านหนังพร้อมกัน และเมื่ออ่านจบก็ควรซักถามในส่วนที่ยังไม่เข้าใจเพื่อจะได้เป็นการทบทวนความรู้ให้เพื่อนและเพื่อเพิ่มความเข้าใจให้แก่ตนเองด้วย

4. ค้นคว้าเพิ่มเติม
: ในกรณีที่เรายังเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านอย่างถ่องแท้เราก็ควรค้นคว้าเพิ่มเติมจากตำรา หรือว่าอาจารย์ผู้สอนรายวิชานั้นๆ และจดบันทึกข้อควรจำที่สำคัญๆ เพื่อทำความเข้าใจก่อนสอบ

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 คำฮิต ที่เด็กไทยขอพูดหลังรู้ผล GAT PAT
เพื่อแสดงความอาลัยยิ่งต่อคะแนนสอบ GAT PAT ก.ค. 53 ที่ออกมา พี่ลาเต้ มี 10 คำพูดฮิตๆ ที่แอบไปเห็นน้องๆ เด็กแอดฯ 54 เขาพูดกันตอนรู้ผลกันแล้ว แต่ละคำนั้นต้องบอกว่าออกมาจากใจจริงๆ จะมีคำว่าไรนั้น ไปพูด เอ๊ย ไปอ่านกันเลยครับ

1.“ตรวจผิดเปล่าเนี่ย” พูดไปสงสัยไปว่า สทศ. ตรวจผิดจริงเปล่า เพราะไม่น่าเชื่อว่าคะแนน PAT เลขจะเน่าจมดินขนาดนี้ ส่วน GAT ไม่ต้องพูดถึง ตอบเหมือนเพื่อนเป๊ะ เพื่อนได้เต็ม แต่ทำไมเราได้ไม่ถึงร้อย !!

2.“ไปซะแล้ว คณะในฝันของชั้นนน” ทันทีที่คะแนนออกมา สิ่งที่ลอยไปแล้วนอกจากสติคือคณะในฝันของใครหลายๆ คน เต็ม 300 ได้แค่ 130 จะไปเข้าที่ไหนได้เนี่ย โอ๊ยๆๆ ฝันสลายแล้ววว

3.“ครั้งหน้าเอาใหม่โว้ย” ใครที่พูดประโยคนี้ออกมา พี่ลาเต้ ขอปรมมือแบบเมลเลย์ให้เลย น้องเหมาะมากๆ ที่จะต่อสู้ไปกับระบบแอดมิชชั่น ไม่ต้องไปแคร์สื่อครั้งนี้ได้น้อย ครั้งหน้าก็เอาใหม่ จริงไหมๆๆ

4.“ห้องคิงเทพมากๆ กินอะไรเข้าไปน่ะ” อย่าให้รู้นะว่าเด็กห้องคิงกินอะไรเข้าไป ต่อให้แพงแค่ไหน เหนื่อยยากแค่ไหน ก็จะไปหามากินให้ได้ ดูซิจะเก่งเหมือนพวกเขากันไหม จะว่าไปเราก็กินปลาบ่อยๆ แล้วนะ ไม่ฉลาดขึ้นมาเลยเหรอ

5.“แม่ๆ ขอพารา 3 เม็ด” ขอด่วนเลยแม่ก่อนผมจะเป็นบ้าตาย เต็ม 300 ผมเก่งมากทำได้แค่ 120 แม่ว่าไงครับ หากไม่ว่าไงผมขอตัวไปกินยาก่อนนะ พารา พารา พารา (อย่ากินเยอะนะ เดี๋ยวหมด เอ๊ยเดี๋ยวไม่ตื่น)

6.“มีรับตรงที่ไหน ไม่ใช้ GAT PAT บ้างเนี่ย” มีไหม หากมีบอกเราด่วน จะไปสมัครทันทีภายใน 3 นาที 555 หรือหากใครไม่รู้ว่ารับตรง โควต้า มีที่ไหนเปิดรับบ้าง

7.“ดูซอนต๊อกดีกว่า เซ็ง !!” ยังเจ็บใจกับคะแนนที่ออกมาไม่หาย หยุดพักเสาร์อาทิตย์นี้ ขอหยุดพักผ่อนงดทำการบ้านชั่วคราว แล้วม้วนตัวยาวๆ นอนดูซอนต๊อกดีกว่า ดูซะให้หายแค้นไปเลย หึหึ

8.“ปลวกเอ๊ย” คำนี้หลุดมาบ่อยมากๆ โดยเฉพาะคนที่หวังไว้สูง แต่คะแนนดันมาน้อย ไม่รู้ว่าด่าตัวเอง หรือด่าใคร แต่ที่แน่ๆ หากพูดออกมาแล้วมันสบายใจ ก็พูดออกมาเถอะ แต่อย่ามาด่าพี่นะ พี่กลัว อิอิ

9.“ใครไซโค โดนตบ !!” คำพูดนี้หากพูดบ่อยๆ อาจมีเฮแน่นอน ดังนั้นฝากเตือนน้องๆ ชาวเด็กดีคนที่ได้คะแนนทั้งมาก และน้อยก็ไม่ต้องไปหลอกตัวเอง โพสโน่น บอกนี้ทำร้ายจิตใจคนอื่นๆ ทำแบบนี้มันปลวกมากๆ 555

10.“รอบหน้า ไม่เต็มให้มันรู้ไป” คำพูดปลุกใจที่ใช้ได้ผลมาทุกสมัย อีก 3 เดือนข้างหน้าก็จะสอบใหม่ ลองตั้งหลักใหม่ วางตารางใหม่ แล้วที่สำคัญต้องทำให้ได้ พี่ลาเต้ เชื่อว่าไม่เกิดความสามารถแน่นอน จริงไหมๆๆ
(69) วิธีทำ เนยถั่ว (peanut butter)
ส่วนผสมนะคะถั่วลิสงคั่วยังไม่ปลอกเปลือกน้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันพืชสิ่งที่ต้องเตรียมถ้วยตวงเครื่องปั่น แบบปั่นที่เป็นเม็ดเครื่องปั่น แบบปั่นให้ละเอียดช้อนตวง ช้อนโต๊ะ ช้อนชาขวดใส่ เนยถั่ววิธีทำปลอกเปลือกถั่ว แล้วตวงถั่วให้ได้ 1 ถ้วยตวงค่ะและเปลือกเปลือกสีแดงออกค่ะและก็ใส่ถั่วที่เครื่องปั่น ชอบแบบไม่ละเอียดก็ใส่เครื่องปั่นแบบไม่ละเอียดมากค่ะ หรือชอบแบบละเอียดก็ปั่นจนละเอียดไปเลยนะคะและจากนั้นก็ใส่ น้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันพืช หนึ่งหรือสองช้อนโต๊ะ ค่อยๆๆใส่ลงไปค่ะ จนเข้ากันได้ดีนะคะเป็นเนื้อเดียวกันค่ะและใส่ขวดเก็บไว้ในตู้เย็นนะคะ

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ดอกไม้ในวรรณคดี
ดอกไม้ ในวรรณคดีไทย หมายถึงดอกไม้ที่บรรดากวีไทยท่านได้พรรณาไว้เป็นบทร้อยกรองอย่างไพเราะใน หนังสือวรรณคดี เช่น รามเกียรติ์ อิเหนา เงาะป่า ดาหลัง ขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี บทเห่เรือเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก กาพย์ห่อโคลงนิราศทองแดง นิราสหริภุญชัย นิราศพระประธม นิราศสุพรรณ นิราศเมืองแกลง นิราศภูเขาทอง นิราศอิเหนา นิราศเจ้าฟ้าลิลิตพระลอ และลิลิตตะเลงพ่าย
เป็นความสามารถเฉพาะตัวของกวีไทย ที่ได้พรรณาชื่อดอกไม้หลายชนิดไว้อย่างไพเราะ ทั้งลักษณะ สีสัน กลิ่น ทำให้ผ้อ่านเกิดมโนภาพ ประทับใจ เหมือนได้ไปอยู่ ณ ที่ด้วย หวังว่าสิ่งที่เรียบเรียงมาคงจะเป็นประโยชน์และเกิดความประทับใจกับการพรรณา ของกวีไทยบ้าง

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553


ภาวะโลกร้อน (Global Warming)
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)
ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง



  1. กินกล้วยต้านโรค
    กินกล้วยต้านโรค (Lisa) กล้วย มีกำเนิดอยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงได้หลายพันปี หลายปีมาแล้ว เชื่อกันว่ากล้วยเป็นผลไม้ชนิดแรกที่คนปลูก เพื่อเป็นอาหาร ประเทศไทยเราชื่อแน่ว่าปลูกกล้วยกินมานานมากแล้ว จดหมายในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ 300 กว่าปีมาแล้วก็กล่าวถึงเรื่อง ของกล้วย และยังมีผู้สำรวจและกล่าวว่ากล้วยหลาย 10 พันธุ์มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย แต่คนไทยกลับนิยมกินกล้วยกินน้อยมาก บางคนดูถูกด้วยซ้ำว่าเป็นผลไม้ของคนยาก เนื่องจากราคาถูก จึงถูกจัดให้เป็นผลไม้เกรดต่ำ นำมาขึ้นโต๊ะรับแขกไม่ได้ แขกจะถูกแย่ว่าเลี้ยงกล้วย ต้องไปหาผลไม้แพงๆ ซึ่งความจริงผลไม้ไทpอย่างกล้วยนี้ สุดยอดวิตามินเชียวล่ะกินกล้วย-ต้านโรค ฟังดูชื่อเรื่อง บางคนอาจจะคิดว่า เกินเลยความจริงไปมั้ง จริง ๆ แล้ว ไม่เกินเลยความจริงเลย กล้วยผลไม้ไทย ๆ ของเรานี่แหละใช้เป็นยาป้องกันและรักษาโรคได้หลายโรค และยังเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารครบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ คือมีทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และยังมีคุณสมบัติที่ย่อยง่าย ทางการแพทย์จึงได้เลือกให้กล้วยน้ำว้าสุกเป็นอาหารเสริมในวัยทารก น้ำตาลที่เกิดขึ้นจากขบวนการเปลี่ยนแปลงของแป้ง ขณะที่กล้วยสุกก็มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เมื่อกล้วยตกไปถึงลำไส้จะทำให้ลำไส้มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้แคลเซียมถูกดูดซึมง่ายและสมบูรณ์ขึ้น จึงนับว่าน้ำตาลในกล้วยมีคุณค่ากว่าน้ำตาลที่ได้จากธัญพืชอื่น ๆ สารอาหารโปรตีนที่มีอยู่ในกล้วยน้ำว้า เป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับเราอยู่หลายชนิด โดยเฉพาะมีกรดอะมิโนที่มีชื่อว่า อาร์จินิน และ ฮีสติดีน ซึ่งกรดอะมิโนทั้ง 2 ตัวนี้ เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก นอกจากโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตแล้ว ในกล้วยแต่ละชนิดยังมีไขมันแม้จะอยู่ในปริมาณที่น้อยก็ตาม กล้วยแต่ละชนิดจะให้โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ในปริมาณที่แตกต่างกัน จะเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนจากตาราง โดยเปรียบเทียบจากเนื้อกล้วยในปริมาณ 100 กรัม เท่าๆ กัน ส่วนวิตามินนั้น มองดูผิวเผิน กล้วยแต่ละชนิดสีขาวๆ ทั้งนั้นไม่น่าจะให้วิตามินเอเลย แต่ในกล้วยก็มีวิตามินเออยู่ด้วย แม้จะไม่มากเท่าวิตามินเอที่ได้จากมะละกอหรือมะม่วงสุก แต่ก็มีวิตามินเอมากกว่าผลไม้อีกหลาย ๆ ชนิด เช่น ชมพู่ ส้มโอ น้อยหน่า เป็นต้น ในบรรดากล้วยทุกชนิดนั้น กล้วยน้ำว้าจะมีวิตามินเอมากกว่าเพื่อน สำหรับวิตามินตัวอื่น กล้วยก็มีอยู่ครบทุกชนิดเช่นกัน ทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอะซิน เกลือแร่สำคัญ ๆ ที่มีอยู่ในกล้วยก็คือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก เมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้อื่น ๆ แล้ว กล้วยนับเป็นผลไม้ที่มีเกลือแร่อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม ฟอสฟอรัสหรือเหล็กก็ตาม กล้วยทุกชนิดมีแร่ธาตุมากกว่าผลไม้ชนิดต่าง ๆ ดังนี้ มีธาตุเหล็กมากกว่าแตงโม พุทรา ระกำ ลำไย ลิ้นจี่ แอปเปิ้ล แคนตาลูป ฯลฯ มีแคลเซียมมากกว่าชมพู่ มะเฟือง มะไฟ มะยม มังคุด ลิ้นจี่ ลำไย ฯลฯ
    มีฟอสฟอรัสมากกว่าลูกเงาะ ชมพู่ แตงไทย แตงโม มะเฟือง มะม่วง มังคุด ระกำ ละมุด แอปเปิ้ล แคนตาลูป ฯลฯ
    ปริมาณสารอาหารที่ได้รับจากเนื้อกล้วย 100 กรัม

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

นิสัยที่ทำร้ายสมองเกร็ด ความรู้ สำหรับ สุขภาพ เกร็ดความรู้ เรื่อง สุขภาพ ร่างกาย เสนอ นิสัย 10 ข้อ ที่ทำร้ายสมอง สมองเป็นอวัยวะสำคัญ แต่เราอาจจะไปทำร้ายโดยไม่รู้ตัว มาพบกับ เกร็ดความรู้ นิสัย 10 ข้อ ที่ทำร้ายสมอง กันเถอะวันนี้เกร็ดความรู้มีนิสัย 10 ข้อ ที่ทำร้ายสมองมาฝากกัน...1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม 2. กินอาหารมากเกินไป จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น 3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ 4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาสมอง 5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะ เข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง 6. การอดนอน เป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้ ส่วนการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง 8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว 9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ 10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมองสมองเป็นอวัยวะที่สำคัญ ยังไงก็อย่าลืมหันมาเอาใจใส่กันด้วย

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประเทศฝรั่งเศส หรือ สาธารณรัฐฝรั่งเศส (République Française) เป็นประเทศที่มีศูนย์กลางตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ทั้งยังประกอบไปด้วยเกาะและดินแดนอื่นๆ ในต่างทวีป ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ทอดตัวตั้งแต่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงช่องแคบอังกฤษและทะเลเหนือ และจากแม่น้ำไรน์จนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก ชาวฝรั่งเศสมักเรียกแผ่นดินใหญ่ว่า หกเหลี่ยม (L'Hexagone) เนื่องจากรูปทรงทางกายภาพของประเทศ ประเทศฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกึ่งประธานาธิบดี โดยยึดอุดมการณ์จากปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และของพลเมือง
ประเทศฝรั่งเศสมีพรมแดนติดกับประเทศเบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี โมนาโก อันดอร์ราและสเปน และเนื่องจากประเทศฝรั่งเศสมีดินแดนโพ้นทะเลไว้ในครอบครอง ทำให้มีอาณาเขตติดกับประเทศบราซิลและซูรินาเม (ติดกับเฟรนช์เกียนา) และหมู่เกาะอินดีสเนเธอร์แลนด์ตะวันตก (ติดกับแซงต์-มาร์แตง) อีกด้วย นอกจากนั้นประเทศฝรั่งเศสยังเชื่อมกับสหราชอาณาจักรทางอุโมงค์ช่องแคบอังกฤษอีกด้วย
ประเทศฝรั่งเศสเคยเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 จักรวรรดิฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศจักรวรรดินิยมที่มีอาณานิคมในครอบครองมากที่สุดในโลก แผ่อาณาเขตตั้งแต่แอฟริกาตะวันตกจนถึงเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเห็นได้ชัดจากอิทธิพลทางวัฒนธรรม ภาษาและการเมืองการปกครองของดินแดนนั้นๆ ประเทศฝรั่งเศสถูกจัดให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลก ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกว่า 82 ล้านคนต่อปี ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรปและมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอีกด้วย ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ เป็นสมาชิกประชาคมผู้ใช้ภาษาฝรั่งเศสโลก จีแปด นาโต้และสหภาพละติน ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่มีหัวรบนิวเคลียร์กว่า 360 หัวรบและเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 59 แห่ง

ที่มาและประวัติของชื่อ
คำว่า ฝรั่งเศส (France) มาจากภาษาละติน Francia ซึ่งแปลตามตรงว่า ดินแดนแห่งแฟรงค์ (Frankland) และมีหลายทฤษฎีที่สันนิษฐานถึงที่มาของคำว่า แฟรงค์ (Franks) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคำในภาษาโปรโต-เยอรมัน Frankon ซึ่งแปลว่า หลาว หอก หรือทวนซึ่งเป็นอาวุธของพวกแฟรงค์ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ฟรานซิสกา (Francisca)
อีกทฤษฎีหนึ่งตามหลักนิรุกติศาสตร์คือในภาษาเยอรมันโบราณ คำว่า แฟรงค์ แปลว่า อิสระ ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นทาส โดยคำดังกล่าวยังคงปรากฏในภาษาฝรั่งเศสปัจจุบันในรูป ฟรังก์ (Franc) ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศฝรั่งเศสจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสกุลเงินยูโรในปี พ.ศ. 2545
ในปัจจุบันประเทศเยอรมนียังเรียกประเทศฝรั่งเศสว่า Frankreich ซึ่งแปลว่า อาณาจักรแห่งแฟรงค์ อีกด้วย
ภูมิประเทศ
ขณะที่ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรป (La Métropole หรือ France métropolitaine) ตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ฝรั่งเศสก็ยังมีดินแดนที่ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ ทะเลแคริบเบียน อเมริกาใต้ มหาสมุทรอินเดียทางตะวันตกและทางใต้ มหาสมุทรแปซิฟิกใต้ รวมทั้งบางส่วนในทวีปแอนตาร์กติกาอีกด้วย (การอ้างสิทธิเหนือดินแดนในแอนตาร์กติกาไม่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศ ดู สนธิสัญญาแอนตาร์กติก)


ภาพถ่ายแผ่นดินใหญ่ประเทศฝรั่งเศสจากดาวเทียมในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2545
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปนั้นมีพื้นที่ 543,935 ตารางกิโลเมตร (210,013 ตารางไมล์) ทำให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งใหญ่กว่าประเทศสเปนเพียงนิดเดียว ประเทศฝรั่งเศสมีพื้นที่ครอบคลุมลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายมาก ตั้งแต่ที่ราบชายฝั่งในภาคเหนือและตะวันตก ซึ่งติดกับทะเลเหนือและมหาสมุทรแอตแลนติก ไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ราบสูงมาสซิฟ ซองตราลทางภาคใต้ตอนกลางและเทือกเขาปีเรเนส์ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ประเทศฝรั่งเศสยังมีจุดที่สูงที่สุดในทวีปยุโรปตะวันตกคือ ยอดเขามงต์บล็องก์ หรือ มองต์บลังก์ (Mont Blanc) ซึ่งสูง 4,807 เมตร (15,770 ฟุต) ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ บริเวณชายแดนประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปยังมีแม่น้ำต่างๆ ที่สำคัญอีกมากมาย เช่น แม่น้ำลัวร์ แม่น้ำการอนน์ แม่น้ำแซนและแม่น้ำโรนซึ่งแบ่งที่ราบสูงมาสซิฟ ซองตราลออกจากเทือกเขาแอลป์อีกด้วย โดยไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่กามาร์ก ซึ่งเป็นจุดที่ต่ำที่สุดในประเทศฝรั่งเศส (2 เมตร หรือ 6.5 ฟุต จากระดับน้ำทะเล) และยังมีกอร์ส (คอร์ซิกา) ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
พื้นที่ของประเทศฝรั่งเศส รวมทั้งจังหวัดและดินแดนโพ้นทะเล (ไม่รวมดินแดนอาเดลี) คือ 674,843 ตารางกิโลเมตร (260,558 ตารางไมล์) นับเป็น 0.45% ของพื้นแผ่นดินโลกทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามประเทศฝรั่งเศสครอบครองพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะเป็นอันดับสองของโลก ด้วยเนื้อที่ 11,035,000 ตารางกิโลเมตร (4,260,000 ตารางไมล์) นับเป็น 8% ของพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะทั้งหมดในโลก ตามหลังสหรัฐอเมริกา ไปเพียง 316,000 ตารางกิโลเมตร และนำประเทศออสเตรเลียกว่า 2,886,750 ตารางกิโลเมตร


แผนที่ดินแดนของฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปตั้งอยู่ระหว่าง 41° and 50° เหนือ บนขอบทวีปยุโรปตะวันตกและตั้งอยู่ในภูมิอากาศเขตอบอุ่นเหนือ ทางภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือมีสภาพภูมิอากาศเขตอบอุ่น แต่กระนั้นภูมิประเทศและทะเลก็มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศเหมือนกัน ละติจูด ลองจิจูดและความสูงเหนือระดับน้ำทะเลทำให้ประเทศฝรั่งเศสมีภูมิอากาศแบบคละอีกด้วย ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ภาคตะวันตกส่วนมากจะมีปริมาณน้ำฝนสูง ฤดูหนาวไม่มากและฤดูร้อนเย็นสบาย ภายในประเทศภูมิอากาศจะเปลี่ยนไปทางภาคพื้นทวีปยุโรป อากาศร้อน มีมรสุมในฤดูร้อน ฤดูหนาวหนาวกว่าเดิมและมีฝนตกน้อย ส่วนภูมิอากาศเทือกเขาแอลป์และแถบบริเวณเทือกเขาอื่นๆ ส่วนมากมักจะมีภูมิอากาศแถบเทือกเขา ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งกว่า 150 วันต่อปีและปกคลุมด้วยหิมะกว่า 6 เดือน
ประวัติศาสตร์
ดูบทความหลักที่ ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส
ชาวฝรั่งเศสสืบเชื้อสายมาจากพวกโกลในศตวรรษที่ 1 จากนั้นตกมาอยู่ใต้การปกครองของพวกแฟรงก์ (ชื่อประเทศ France มาจากคำว่าแฟรงก์เช่นกัน) ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีบันทึกว่าเริ่มในศตวรรษที่ 5 เมื่อพระเจ้าชาร์เลอมาญตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใน ค.ศ. 843 ก็มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนี
ราชสำนักฝรั่งเศสขึ้นสู่จุดสูงสุดในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งในยุคนี้ฝรั่งเศสได้เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในยุโรป และมีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจศิลปะ และ วัฒนธรรม ต่อยุโรปเป็นอย่างมาก


ภาพ La Liberté guidant le peuple หรือ เสรีภาพนำประชาชน เล่าเรื่องเหตุการณ์ตอนปฏิวัติฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกษัตริย์จนถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1792 จึงเปลี่ยนมาใช้ระบอบสาธารณรัฐ หลังจากนั้นนโปเลียน โบนาปาร์ตได้ตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิและรุกรานประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป เมื่อนโปเลียนพ่ายแพ้ ฝรั่งเศสจึงกลับมาใช้ระบบสาธารณรัฐอีกครั้ง เรียกว่ายุคสาธารณรัฐที่สอง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะหลุยส์ นโปเลียน หลานลุงของนโปเลียนได้ยึดประเทศและตั้งจักรวรรดิที่สองอีกครั้ง
ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง ทศวรรษที่ 60 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคม จักรวรรดิฝรั่งเศสมีพื้นที่ใหญ่มาก โดยช่วงที่ใหญ่ที่สุดคือช่วงยุคทศวรรษที่ 20 ถึง 30 ซึ่งมีกว่า 12,898,000 ตารางกิโลเมตร และเป็นจักรวรรดิอันดับสองของโลก รองมาจากจักรวรรดิอังกฤษ
ฝรั่งเศสได้รับความบอบช้ำอย่างหนักจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง ปัจจุบันใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีทั้งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี (เรียกยุคสาธารณรัฐที่ห้า) ทศวรรษที่ผ่านมาฝรั่งเศสและเยอรมนีเป็นผู้นำของการรวมตัวตั้งประชาคมยุโรป ซึ่งพัฒนามาเป็นสหภาพยุโรปในปัจจุบัน
ฝรั่งเศสยังเป็น 1 ใน 5 สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง
การเมือง
สาธารณรัฐฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แบบสาธารณรัฐเดี่ยวกึ่งประธานาธิบดี รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2501 โดยผ่านการลงประชามติ สาระสำคัญในรัฐธรรมนูญนั้นคือการเพิ่มอำนาจประธานาธิบดี อำนาจฝ่ายบริหารนั้นถูกแบ่งออกและมีหัวหน้า 2 คน ซึ่งก็คือประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ ผ่านการเลือกตั้งโดยตรงแบบสากล มีวาระ 5 ปี (เดิม 7 ปี) มีตำแหน่งประมุขแห่งรัฐอีกด้วย และนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรัฐบาล ซึ่งถูกแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี
รัฐสภาฝรั่งเศสนั้นแบ่งออกเป็น 2 สภาได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร (Assemblée Nationale) และ วุฒิสภา (Sénat) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนในเขตเลือกตั้ง มาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระ 5 ปี สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีและเสียงข้างมากในสภาสามารถกำหนดการตัดสินใจของรัฐบาลอีกด้วย สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกของคณะผู้เลือกตั้ง มีวาระ 6 ปี (เดิม 9 ปี)
การแบ่งเขตการปกครอง
ดูบทความหลักที่ หน่วยการบริหารของประเทศฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรป (Metropolitan France) แบ่งการปกครองออกเป็น
22 แคว้น (regions - régions) ได้แก่
อัลซาซ (Alsace)
อากีแตน (Aquitaine)
โอแวร์ญ (Auvergne)
บาส-นอร์มองดี (Basse-Normandie)
บูร์กอญ (Bourgogne)
เบรอตาญ (Bretagne)
ซองตร์ (Centre)
ชองปาญ-อาร์แดน (Champagne-Ardenne)
กอร์ส (คอร์ซิกา)(Corse)
ฟรองช์-กงเต (Franche-Comté)
โอต-นอร์มองดี (Haute-Normandie)
อีล-เดอ-ฟรองซ์ (Île-de-France)
ลองเกอด็อก-รูซียง (Languedoc-Roussillon)
ลีมูแซง (Limousin)
ลอร์แรน (Lorraine)
มีดี-ปีเรเนส์ (Midi-Pyrénées)
นอร์ด-ปาส์-เดอ-กาเลส์ (Nord-Pas-de-Calais)
เปอีส์ เดอ ลา ลัวร์ (Pays de la Loire)
ปีการ์ดี (Picardie)
ปัวตู-ชารองต์(Poitou-Charentes)
โปรวองซ์-อัลป์-โกต ดาซูร์ (Provence-Alpes-Côte d'Azur)
โรน-อัลป์(Rhône-Alpes)

โดยในแต่ละแคว้นแบ่งออกเป็น จังหวัด (départements) รวมทั้งหมด 96 จังหวัด
นอกจากในทวีปยุโรปแล้ว ประเทศฝรั่งเศสยังมีเขตการปกครองโพ้นทะเล (Overseas) อยู่ในทวีปต่าง ๆ ทั้งอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา แอนตาร์กติกา และภูมิภาคโอเชียเนียอีก ได้แก่


4 เขตการปกครองโพ้นทะเล (Départements d'outre-mers: DOM) ได้แก่ กวาเดอลูป (Guadeloupe) เฟรนช์เกียนา (French Guiana) มาร์ตินีก (Martinique) และเรอูนียง (Réunion) ทั้งสี่มีฐานะเดียวกับแคว้นในฝรั่งเศสภาคพื้นทวีป (อย่างเดียวกับฮาวายที่มีฐานะเท่าเทียมกับมลรัฐอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา) กล่าวคือ เป็นทั้งแคว้นและจังหวัดในเวลาเดียวกัน
3 อาณานิคมโพ้นทะเล (Collectivités d'outre-mer) ได้แก่ แซงต์ ปีแอร์และมีเกอลง (Saint-Pierre and Miquelon) หมู่เกาะวาลลิสและหมู่เกาะฟุตูนา (Wallis and Futuna) และมายอต (Mayotte)
1 ประเทศโพ้นทะเล (Pays d'outre-mer: POM) ดินแดนแห่งเดียวของฝรั่งเศสที่ได้รับการเรียกชื่อนี้คือ เฟรนช์โปลินีเซีย (French Polynesia) ซึ่งเคยเป็นดินแดนโพ้นทะเล (TOM) มาก่อน แต่ได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2546 โดยแบ่งออกเป็น 5 เขตบริหารย่อย
1 อาณานิคมพิเศษ (Collectivité sui generis) คือ นิวแคลิโดเนีย (New Caledonia) เคยมีฐานะเป็นดินแดนโพ้นทะเลมาจนถึงปี พ.ศ. 2542 จึงได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะ แบ่งออกเป็น 3 จังหวัด (provinces) ได้แก่ จังหวัดนอร์ ซูด และอีลลัวโยเต
1 ดินแดนโพ้นทะเล (Territoires d'outre-mer: TOM) คือ เฟรนช์เซาเทิร์นและแอนตาร์กติกแลนส์ (French Southern and Antarctic Lands) โดยแบ่งออกเป็น 4 เขต (districts) ได้แก่ หมู่เกาะแกร์เกอลอง (Kerguelen Islands) หมู่เกาะโกรเซต์ (Crozet Islands) เกาะอัมสเตอร์ดัมและเกาะแซงปอล (Amsterdam Island and Saint Paul Island) และดินแดนอาเดลี (Adelie Land)
ดินแดน 5 เกาะในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งไม่มีผู้อาศัยอยู่อย่างถาวร รู้จักกันในชื่อ หมู่เกาะกระจายหรืออีลเซปาร์ส (Îles Éparses) ได้แก่ บัสซาสดาอินเดีย (Bassas da India) ยูโรปา (Europa) ฮวนเดโนวา (Juan de Nova) โกลริโอโซ (Glorioso) และตรอมแลง (Tromelin) ทั้งหมดถูกปกครองโดยจังหวัดโพ้นทะเลเรอูนียง
เกาะที่ไม่มีผู้อาศัย 1 แห่ง คือ เกาะคลิปเปอร์ตัน (Clipperton) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ใกล้ชายฝั่งประเทศเม็กซิโก ปกครองโดยข้าหลวงใหญ่สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำท้องถิ่นโพ้นทะเลเฟรนช์โปลินีเซีย
เศรษฐกิจ


ประเทศฝรั่งเศสทั้งประเทศพึ่งอยู่กับพลังงานนิวเคลียร์ (เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์กอลเฟค)
เมื่อดูจากมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ประเทศฝรั่งเศสนับเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก ประเภทของอุตสาหกรรมที่เป็นที่มาของความสำเร็จดังกล่าว ได้แก่ อุตสาหกรรมทางด้านการขนส่ง โทรคมนาคม อุตสาหกรรมอาหาร ผลิตภัณฑ์ยา รวมไปถึงภาคธนาคาร การประกันภัย การท่องเที่ยว และสินค้าฟุ่มเฟือย (เครื่องหนัง เสื้อผ้าสำเร็จรูป น้ำหอมและเหล้า)
ในปี พ.ศ. 2547 ประเทศฝรั่งเศสเสียเปรียบดุลการค้าถึง 6.6 พันล้านยูโร ถือเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกทางด้านสินค้าทุน (ส่วนมากจะเป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์) และเป็นอันดับ 2 ในส่วนของภาคบริการและทางด้านเกษตรกรรม (โดยเฉพาะธัญพืชและอุตสาหกรรมอาหาร) ส่วนในระดับภูมิภาคยุโรป ประเทศฝรั่งเศสนับเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าการเกษตรรายใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ สัดส่วนการค้าระหว่างประเทศฝรั่งเศสกับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปคิดเป็นร้อยละ 70 (ร้อยละ 50 เฉพาะประเทศในโซนยูโร)
ในด้านการลงทุน ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีการลงทุนจากต่างประเทศมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ทั้งนี้เพราะผู้ลงทุนพอใจในคุณภาพของแรงงานชาวฝรั่งเศส การค้นคว้าวิจัยขั้นสูง เทคโนโลยีชั้นสูงที่ก้าวหน้ามาก เสถียรภาพของค่าเงิน และการควบคุมต้นทุนการผลิต
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (PIB) ปี พ.ศ. 2547 มีมูลค่า 1,648.4 พันล้านยูโร
อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ปี พ.ศ. 2549 คิดเป็นร้อยละ 2
รายได้เฉลี่ยต่อหัว 30,100 ดอลลาร์สหรัฐ (พ.ศ. 2549)
อัตราเงินเฟ้อคิดเป็นร้อยละ 2.0 (ปี พ.ศ. 2549)
ดุลการค้าขาดดุลมีมูลค่า 6.6 พันล้านยูโร (พ.ศ. 2547)
ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่มีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์มากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองลงมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา (59 เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ใน 19 โรงงานปรมาณูทั่วประเทศ) การผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศ 88% มาจากพลังงานนิวเคลียร์ ค่าไฟฟ้าในประเทศราคาถูกกว่าประเทศใกล้เคียง จึงมีการส่งออกกระแสไฟฟ้าไปยังประเทศอื่น
เกษตรกรรม
ประเทศฝรั่งเศสมีจำนวนพื้นที่ถือครองเพื่อการเกษตรกว่า 590,000 แห่ง มีประชากรในวัยทำงานในภาคการเกษตร 1,189,000 คน และมีพื้นที่เพาะปลูก 27,668,000 เฮกตาร์หรือเท่ากับร้อยละ 50.7 ของประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ โดยมีผลิตผลทางการเกษตรหลักดังนี้
ธัญพืช 69.7 ล้านตัน ในจำนวนนี้ 37.6 ล้านตันเป็นข้าวสาลีและ 16.4 ล้านตันเป็นเมล็ดข้าวโพด ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของสหภาพยุโรปและเป็นอันดับ 5 ของโลก
ไวน์ 48 ล้านเฮกโตลิตร อันดับ 2 ของโลกและในสหภาพยุโรปรองจากประเทศอิตาลี
นม 22.2 ล้านลิตร อันดับ 2 ของสหภาพยุโรปรองจากประเทศเยอรมนีและเป็นอันดับ 5 ของโลก
หัวผักกาดหวาน 29.4 ล้านตัน ผลิตได้เป็นอันดับ 1 ของสหภาพยุโรปและอันดับ 2 ของโลก
เมล็ดพืชที่ให้น้ำมัน 6 ล้านตัน ผลิตได้เป็นอันดับ 1 ของสหภาพยุโรป
ส่วนด้านการทำปศุสัตว์และการผลิตเนื้อสัตว์นั้น มีดังนี้
โค จำนวน 19.2 ล้านตัว / เนื้อโค ปริมาณผลิต 1.8 ล้านตัน
สุกร จำนวน 15.2 ล้านตัว / เนื้อสุกร ปริมาณผลิต 2.3 ล้านตัน
แกะ จำนวน 8.9 ล้านตัว, แพะ จำนวน 1.2 ล้านตัว / เนื้อแพะและแกะ ปริมาณผลิต 1.3 ล้านตัน
เนื้อสัตว์ปีก ปริมาณผลิต 2.1 ล้านตัน
ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ภายกลุ่มประชาคมยุโรปกว่าร้อยละ 58.6 ของการค้าทั้งหมดของประเทศฝรั่งเศสคือ ประเทศเยอรมนี เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก สหราชอาณาจักร สเปนและอิตาลี ที่เหลือได้แก่ สหรัฐอเมริกา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และแอลจีเรีย
การค้าต่างประเทศ


เครื่องบินแอร์บัส เอ 380 เครื่องแรกที่ผลิตในเมืองตูลูส เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548 โดยเครื่องบินแอร์บัสเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความสำเร็จทางเศรษฐกิจของประเทศฝรั่งเศสและสหภาพยุโรป
ในอดีตประเทศฝรั่งเศสขาดดุลการค้ามาโดยตลอดจนถึงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งได้มีการปรับโครงสร้างใหม่ เช่น การไม่รวมอัตรารายได้กับดัชนีเงินเฟ้อ และการปรับความสามารถในการแข่งขันส่งผลให้สภาวะการค้าของประเทศฝรั่งเศสดีขึ้น และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา ประเทศฝรั่งเศสก็ได้เปรียบดุลการค้าติดต่อกันเรื่อยมา โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ฝรั่งเศสได้เปรียบดุลการค้า คือ ราคาพลังงานที่ฝรั่งเศสต้องนำเข้าได้ลดลง ประเทศฝรั่งเศสทำการค้ากับสหภาพยุโรปเป็นสำคัญโดยร้อยละ 60 ของการส่งออกของฝรั่งเศสส่งไปยังตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งเดิมถือว่าเป็นจุดอ่อนของประเทศฝรั่งเศส แต่สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันได้กลายเป็นข้อได้เปรียบ และการส่งออกสินค้ามูลค่าสูงเช่น เครื่องบินแอร์บัส และอุปกรณ์การบิน ดาวเทียม อุปกรณ์ด้านการทหาร และรถไฟความเร็วสูง (TGV) ได้ขยายตัวอย่างมากโดยมีสัดส่วนถึงร้อยละ 20 ของการส่งออกของประเทศฝรั่งเศสทั้งหมด
แนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต คาดว่าประเทศฝรั่งเศสจะได้เปรียบดุลการค้าลดลง เนื่องจากการถดถอยของอุปสงค์โลก ซึ่งเป็นผลกระทบจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจเอเชีย ในปี พ.ศ. 2541 และการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ภายหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกาและสงครามในอิรัก[2]
การท่องเที่ยว


พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสนับเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุดในโลก มีจำนวนถึง 81.9 ล้านคนในปี พ.ศ. 2550 แซงหน้าประเทศสเปน (58.5 ล้านคนในปี พ.ศ. 2549) และสหรัฐอเมริกา (51.1 ล้านคนในปี พ.ศ. 2549) จำนวน 81.9 ล้านคนนี้ ไม่รวมนักท่องเที่ยวที่อาศัยในประเทศฝรั่งเศสน้อยกว่า 24 ชั่วโมง เช่น ชาวยุโรปทางตอนเหนือที่เดินทางผ่านประเทศฝรั่งเศสเพื่อไปประเทศสเปนหรืออิตาลีในฤดูร้อน ประเทศฝรั่งเศสมีสถานที่ท่องเที่ยวในทุกๆ บรรยากาศไม่ว่าจะเป็น สถานที่ท่องเที่ยวทางด้านวัฒนธรรมหรือธรรมชาติ ที่ประกอบไปด้วยทะเล หาดทราย ป่า แม่น้ำ ภูเขา บ้านพักตากอากาศ ฯลฯ สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดมีดังนี้[3] หอไอเฟล (6.2 ล้าน) , พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (5.7 ล้าน) , พระราชวังแวร์ซายส์ (2.8 ล้าน) , พิพิธภัณฑ์ออร์เซ (2.1 ล้าน) , ประตูชัยฝรั่งเศส (1.2 ล้าน) , ซองตร์ ปอมปิดู (1.2 ล้าน) , มงต์-แซงต์-มิแชล (1 ล้าน) , ชาโต เดอ ชองบอร์ด (711,000) , แซงต์-ชาแปลล์ (683,000) , ชาโต ดู โอต์-โคนิคบูร์ก (549,000) , ปุย เดอ โดม (5 แสน) , พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ (441,000) และการ์กาสซอนน์ (362,000)
ประเทศฝรั่งเศสมีโรงแรมกว่า 18,217 แห่ง สถานที่ตั้งแคมป์ 8,289 แห่ง หมู่บ้านตากอากาศ 1001 แห่ง บ้านพักเยาวชน 188 แห่ง ที่พักราคาย่อมเยาในต่างจังหวัด 63,158 แห่ง ห้องพักพร้อมอาหารเช้าตามบ้านคนท้องถิ่น 31,013 ห้อง โดยประเทศฝรั่งเศสมีรายได้จากการท่องเที่ยว 32.8 พันล้านยูโร นับเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาและอิตาลี และมีดุลการท่องเที่ยวเกินดุลกว่า 9.8 พันล้านยูโร


ประชากร
ดูบทความหลักที่ ชาวฝรั่งเศส
ประชากรของประเทศฝรั่งเศสนั้นมีประมาณ 64.5 ล้านคน โดยเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 19 ของโลก เมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมากได้แก่] วัฒนธรรม
ชาวฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการนอนกลางวัน จึงส่งผลให้ประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสชอบนอนกลางวันตามไปด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนลึกของวัฒนธรรม คล้ายคลึงกับของอังกฤษและอิตาลีอยู่แล้ว ไม่สามารถแบ่งได้ชัดเจนเด่นชัด เช่น การจับมือ ภาษา เป็นต้น เนื่องจากชนพื้นเมืองเป็น ชนผิวดำ และสีผิว จึงได้วัฒธรรมตามกันมา.