ประเทศฝรั่งเศส หรือ สาธารณรัฐฝรั่งเศส (République Française) เป็นประเทศที่มีศูนย์กลางตั้งอยู่ในภูมิภาค
ยุโรปตะวันตก ทั้งยังประกอบไปด้วยเกาะและดินแดนอื่นๆ ในต่างทวีป
ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ทอดตัวตั้งแต่
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึง
ช่องแคบอังกฤษและ
ทะเลเหนือ และจาก
แม่น้ำไรน์จนถึง
มหาสมุทรแอตแลนติก ชาวฝรั่งเศสมักเรียก
แผ่นดินใหญ่ว่า หกเหลี่ยม (L'Hexagone) เนื่องจากรูปทรงทางกายภาพของประเทศ ประเทศฝรั่งเศสปกครองด้วย
ระบอบกึ่งประธานาธิบดี โดยยึดอุดมการณ์จาก
ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และของพลเมืองประเทศฝรั่งเศสมีพรมแดนติดกับ
ประเทศเบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี โมนาโก อันดอร์ราและ
สเปน และเนื่องจากประเทศฝรั่งเศสมี
ดินแดนโพ้นทะเลไว้ในครอบครอง ทำให้มีอาณาเขตติดกับ
ประเทศบราซิลและ
ซูรินาเม (ติดกับ
เฟรนช์เกียนา) และ
หมู่เกาะอินดีสเนเธอร์แลนด์ตะวันตก (ติดกับ
แซงต์-มาร์แตง) อีกด้วย นอกจากนั้นประเทศฝรั่งเศสยังเชื่อมกับ
สหราชอาณาจักรทาง
อุโมงค์ช่องแคบอังกฤษอีกด้วย
ประเทศฝรั่งเศสเคยเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกตั้งแต่
คริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ใน
คริสต์ศตวรรษที่ 18 และ
19 จักรวรรดิฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศจักรวรรดินิยมที่มีอาณานิคมในครอบครองมากที่สุดในโลก แผ่อาณาเขตตั้งแต่
แอฟริกาตะวันตกจนถึง
เอเชียอาคเนย์ ซึ่งเห็นได้ชัดจากอิทธิพลทางวัฒนธรรม ภาษาและการเมืองการปกครองของดินแดนนั้นๆ ประเทศฝรั่งเศสถูกจัดให้เป็น
ประเทศที่พัฒนาแล้วและมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของ
โลก ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกว่า 82 ล้านคนต่อปี ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้ก่อตั้ง
สหภาพยุโรปและมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอีกด้วย ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ เป็นสมาชิก
ประชาคมผู้ใช้ภาษาฝรั่งเศสโลก จีแปด นาโต้และ
สหภาพละติน ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นสมาชิกถาวรของ
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่มีหัวรบนิวเคลียร์กว่า 360 หัวรบและ
เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 59 แห่ง
ที่มาและประวัติของชื่อ
คำว่า ฝรั่งเศส (France) มาจาก
ภาษาละติน Francia ซึ่งแปลตามตรงว่า ดินแดนแห่งแฟรงค์ (Frankland) และมีหลายทฤษฎีที่สันนิษฐานถึงที่มาของคำว่า
แฟรงค์ (Franks) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคำในภาษาโปรโต-เยอรมัน Frankon ซึ่งแปลว่า หลาว หอก หรือทวนซึ่งเป็นอาวุธของพวก
แฟรงค์ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ฟรานซิสกา (Francisca)
อีกทฤษฎีหนึ่งตามหลัก
นิรุกติศาสตร์คือใน
ภาษาเยอรมันโบราณ คำว่า แฟรงค์ แปลว่า อิสระ ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็น
ทาส โดยคำดังกล่าวยังคงปรากฏใน
ภาษาฝรั่งเศสปัจจุบันในรูป ฟรังก์ (Franc) ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศฝรั่งเศสจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสกุลเงิน
ยูโรในปี
พ.ศ. 2545ในปัจจุบันประเทศเยอรมนียังเรียกประเทศฝรั่งเศสว่า Frankreich ซึ่งแปลว่า อาณาจักรแห่งแฟรงค์ อีกด้วย
ภูมิประเทศ
ขณะที่ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรป (La Métropole หรือ France métropolitaine) ตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ฝรั่งเศสก็ยังมีดินแดนที่ตั้งอยู่ใน
ทวีปอเมริกาเหนือ ทะเลแคริบเบียน อเมริกาใต้ มหาสมุทรอินเดียทางตะวันตกและทางใต้
มหาสมุทรแปซิฟิกใต้ รวมทั้งบางส่วนใน
ทวีปแอนตาร์กติกาอีกด้วย (การอ้างสิทธิเหนือดินแดนในแอนตาร์กติกาไม่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศ ดู
สนธิสัญญาแอนตาร์กติก)
ภาพถ่ายแผ่นดินใหญ่ประเทศฝรั่งเศสจากดาวเทียมในเดือน
สิงหาคม พ.ศ. 2545ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปนั้นมีพื้นที่ 543,935
ตารางกิโลเมตร (210,013
ตารางไมล์) ทำให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม
สหภาพยุโรป ซึ่งใหญ่กว่า
ประเทศสเปนเพียงนิดเดียว ประเทศฝรั่งเศสมีพื้นที่ครอบคลุมลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายมาก ตั้งแต่ที่ราบชายฝั่งในภาคเหนือและตะวันตก ซึ่งติดกับทะเลเหนือและ
มหาสมุทรแอตแลนติก ไปจนถึง
เทือกเขาแอลป์ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้
ที่ราบสูงมาสซิฟ ซองตราลทางภาคใต้ตอนกลางและ
เทือกเขาปีเรเนส์ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ประเทศฝรั่งเศสยังมีจุดที่สูงที่สุดในทวีปยุโรปตะวันตกคือ
ยอดเขามงต์บล็องก์ หรือ มองต์บลังก์ (Mont Blanc) ซึ่งสูง 4,807
เมตร (15,770
ฟุต) ตั้งอยู่บน
เทือกเขาแอลป์ บริเวณชายแดนประเทศฝรั่งเศสและ
อิตาลีประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปยังมีแม่น้ำต่างๆ ที่สำคัญอีกมากมาย เช่น
แม่น้ำลัวร์ แม่น้ำการอนน์ แม่น้ำแซนและ
แม่น้ำโรนซึ่งแบ่ง
ที่ราบสูงมาสซิฟ ซองตราลออกจาก
เทือกเขาแอลป์อีกด้วย โดยไหลลง
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่
กามาร์ก ซึ่งเป็นจุดที่ต่ำที่สุดในประเทศฝรั่งเศส (2
เมตร หรือ 6.5
ฟุต จากระดับน้ำทะเล) และยังมี
กอร์ส (
คอร์ซิกา) ตั้งอยู่บนชายฝั่ง
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนพื้นที่ของประเทศฝรั่งเศส รวมทั้ง
จังหวัดและ
ดินแดนโพ้นทะเล (ไม่รวม
ดินแดนอาเดลี) คือ 674,843
ตารางกิโลเมตร (260,558
ตารางไมล์) นับเป็น 0.45% ของพื้นแผ่นดิน
โลกทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามประเทศฝรั่งเศสครอบครองพื้นที่
เขตเศรษฐกิจจำเพาะเป็นอันดับสองของ
โลก ด้วยเนื้อที่ 11,035,000
ตารางกิโลเมตร (4,260,000
ตารางไมล์) นับเป็น 8% ของพื้นที่
เขตเศรษฐกิจจำเพาะทั้งหมดใน
โลก ตามหลัง
สหรัฐอเมริกา ไปเพียง 316,000
ตารางกิโลเมตร และนำ
ประเทศออสเตรเลียกว่า 2,886,750
ตารางกิโลเมตรแผนที่ดินแดนของฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปตั้งอยู่ระหว่าง 41° and 50° เหนือ บนขอบทวีปยุโรปตะวันตกและตั้งอยู่ในภูมิอากาศ
เขตอบอุ่นเหนือ ทางภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือมีสภาพภูมิอากาศ
เขตอบอุ่น แต่กระนั้นภูมิประเทศและทะเลก็มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศเหมือนกัน
ละติจูด ลองจิจูดและ
ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลทำให้ประเทศฝรั่งเศสมีภูมิอากาศแบบคละอีกด้วย ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ภาคตะวันตกส่วนมากจะมีปริมาณน้ำฝนสูง ฤดูหนาวไม่มากและฤดูร้อนเย็นสบาย ภายในประเทศภูมิอากาศจะเปลี่ยนไปทางภาคพื้นทวีปยุโรป อากาศร้อน มีมรสุมในฤดูร้อน ฤดูหนาวหนาวกว่าเดิมและมีฝนตกน้อย ส่วนภูมิอากาศ
เทือกเขาแอลป์และแถบบริเวณเทือกเขาอื่นๆ ส่วนมากมักจะมีภูมิอากาศแถบเทือกเขา ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งกว่า 150 วันต่อปีและปกคลุมด้วยหิมะกว่า 6 เดือน
ประวัติศาสตร์
ดูบทความหลักที่
ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสชาวฝรั่งเศสสืบเชื้อสายมาจากพวก
โกลในศตวรรษที่ 1 จากนั้นตกมาอยู่ใต้การปกครองของพวก
แฟรงก์ (ชื่อประเทศ France มาจากคำว่าแฟรงก์เช่นกัน) ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีบันทึกว่าเริ่มในศตวรรษที่ 5 เมื่อ
พระเจ้าชาร์เลอมาญตั้ง
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใน ค.ศ. 843 ก็มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งฝรั่งเศสและ
เยอรมนีราชสำนักฝรั่งเศสขึ้นสู่จุดสูงสุดในรัชสมัย
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งในยุคนี้ฝรั่งเศสได้เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในยุโรป และมีอำนาจทาง
การเมือง เศรษฐกิจศิลปะ และ
วัฒนธรรม ต่อยุโรปเป็นอย่างมาก
ภาพ La Liberté guidant le peuple หรือ เสรีภาพนำประชาชน เล่าเรื่องเหตุการณ์ตอนปฏิวัติฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกษัตริย์จนถึง
การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี
ค.ศ. 1792 จึงเปลี่ยนมาใช้ระบอบ
สาธารณรัฐ หลังจากนั้น
นโปเลียน โบนาปาร์ตได้ตั้งตัวเองเป็น
จักรพรรดิและรุกรานประเทศอื่น ๆ ใน
ทวีปยุโรป เมื่อนโปเลียนพ่ายแพ้ ฝรั่งเศสจึงกลับมาใช้ระบบสาธารณรัฐอีกครั้ง เรียกว่ายุคสาธารณรัฐที่สอง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะ
หลุยส์ นโปเลียน หลานลุงของนโปเลียนได้ยึดประเทศและตั้งจักรวรรดิที่สองอีกครั้ง
ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง ทศวรรษที่ 60 ซึ่งเป็น
ยุคล่าอาณานิคม จักรวรรดิฝรั่งเศสมีพื้นที่ใหญ่มาก โดยช่วงที่ใหญ่ที่สุดคือช่วงยุคทศวรรษที่ 20 ถึง 30 ซึ่งมีกว่า 12,898,000 ตารางกิโลเมตร และเป็นจักรวรรดิอันดับสองของโลก รองมาจาก
จักรวรรดิอังกฤษฝรั่งเศสได้รับความบอบช้ำอย่างหนักจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง ปัจจุบันใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีทั้งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี (เรียกยุคสาธารณรัฐที่ห้า) ทศวรรษที่ผ่านมาฝรั่งเศสและเยอรมนีเป็นผู้นำของการรวมตัวตั้ง
ประชาคมยุโรป ซึ่งพัฒนามาเป็น
สหภาพยุโรปในปัจจุบัน
ฝรั่งเศสยังเป็น 1 ใน 5 สมาชิกถาวรของ
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นประเทศที่มี
อาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง
การเมือง
สาธารณรัฐฝรั่งเศสปกครองด้วย
ระบอบประชาธิปไตย แบบสาธารณรัฐเดี่ยว
กึ่งประธานาธิบดี รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้ประกาศใช้เมื่อวันที่
28 กันยายน พ.ศ. 2501 โดยผ่านการลงประชามติ สาระสำคัญในรัฐธรรมนูญนั้นคือการเพิ่มอำนาจ
ประธานาธิบดี อำนาจฝ่ายบริหารนั้นถูกแบ่งออกและมีหัวหน้า 2 คน ซึ่งก็คือ
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ ผ่านการเลือกตั้งโดยตรงแบบสากล มีวาระ 5 ปี (เดิม 7 ปี) มีตำแหน่งประมุขแห่งรัฐอีกด้วย และนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรัฐบาล ซึ่งถูกแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี
รัฐสภาฝรั่งเศสนั้นแบ่งออกเป็น 2 สภาได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร (Assemblée Nationale) และ วุฒิสภา (Sénat) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนในเขตเลือกตั้ง มาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระ 5 ปี สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีและเสียงข้างมากในสภาสามารถกำหนดการตัดสินใจของรัฐบาลอีกด้วย สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกของคณะผู้เลือกตั้ง มีวาระ 6 ปี (เดิม 9 ปี)
การแบ่งเขตการปกครอง
ดูบทความหลักที่
หน่วยการบริหารของประเทศฝรั่งเศสประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรป (Metropolitan France) แบ่งการปกครองออกเป็น
22 แคว้น (regions - régions) ได้แก่
อัลซาซ (Alsace)
อากีแตน (Aquitaine)
โอแวร์ญ (Auvergne)
บาส-นอร์มองดี (Basse-Normandie)
บูร์กอญ (Bourgogne)
เบรอตาญ (Bretagne)
ซองตร์ (Centre)
ชองปาญ-อาร์แดน (Champagne-Ardenne)
กอร์ส (คอร์ซิกา)(Corse)
ฟรองช์-กงเต (Franche-Comté)
โอต-นอร์มองดี (Haute-Normandie)
อีล-เดอ-ฟรองซ์ (Île-de-France)
ลองเกอด็อก-รูซียง (Languedoc-Roussillon)
ลีมูแซง (Limousin)
ลอร์แรน (Lorraine)
มีดี-ปีเรเนส์ (Midi-Pyrénées)
นอร์ด-ปาส์-เดอ-กาเลส์ (Nord-Pas-de-Calais)
เปอีส์ เดอ ลา ลัวร์ (Pays de la Loire)
ปีการ์ดี (Picardie)
ปัวตู-ชารองต์(Poitou-Charentes)
โปรวองซ์-อัลป์-โกต ดาซูร์ (Provence-Alpes-Côte d'Azur)
โรน-อัลป์(Rhône-Alpes)
โดยในแต่ละแคว้นแบ่งออกเป็น จังหวัด (départements) รวมทั้งหมด 96 จังหวัด
นอกจากในทวีปยุโรปแล้ว ประเทศฝรั่งเศสยังมีเขตการปกครองโพ้นทะเล (Overseas) อยู่ในทวีปต่าง ๆ ทั้งอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา แอนตาร์กติกา และภูมิภาคโอเชียเนียอีก ได้แก่
4
เขตการปกครองโพ้นทะเล (Départements d'outre-mers: DOM) ได้แก่
กวาเดอลูป (Guadeloupe)
เฟรนช์เกียนา (French Guiana)
มาร์ตินีก (Martinique) และ
เรอูนียง (Réunion) ทั้งสี่มีฐานะเดียวกับแคว้นในฝรั่งเศสภาคพื้นทวีป (อย่างเดียวกับฮาวายที่มีฐานะเท่าเทียมกับมลรัฐอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา) กล่าวคือ เป็นทั้งแคว้นและจังหวัดในเวลาเดียวกัน
3
อาณานิคมโพ้นทะเล (Collectivités d'outre-mer) ได้แก่
แซงต์ ปีแอร์และมีเกอลง (Saint-Pierre and Miquelon)
หมู่เกาะวาลลิสและหมู่เกาะฟุตูนา (Wallis and Futuna) และ
มายอต (Mayotte)
1
ประเทศโพ้นทะเล (Pays d'outre-mer: POM) ดินแดนแห่งเดียวของฝรั่งเศสที่ได้รับการเรียกชื่อนี้คือ
เฟรนช์โปลินีเซีย (French Polynesia) ซึ่งเคยเป็นดินแดนโพ้นทะเล (TOM) มาก่อน แต่ได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะในวันที่
28 มีนาคม พ.ศ. 2546 โดยแบ่งออกเป็น 5 เขตบริหารย่อย
1
อาณานิคมพิเศษ (Collectivité sui generis) คือ
นิวแคลิโดเนีย (New Caledonia) เคยมีฐานะเป็นดินแดนโพ้นทะเลมาจนถึงปี
พ.ศ. 2542 จึงได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะ แบ่งออกเป็น 3 จังหวัด (provinces) ได้แก่ จังหวัดนอร์ ซูด และอีลลัวโยเต
1
ดินแดนโพ้นทะเล (Territoires d'outre-mer: TOM) คือ
เฟรนช์เซาเทิร์นและแอนตาร์กติกแลนส์ (French Southern and Antarctic Lands) โดยแบ่งออกเป็น 4 เขต (districts) ได้แก่ หมู่เกาะแกร์เกอลอง (Kerguelen Islands) หมู่เกาะโกรเซต์ (Crozet Islands) เกาะอัมสเตอร์ดัมและเกาะแซงปอล (Amsterdam Island and Saint Paul Island) และดินแดนอาเดลี (Adelie Land)
ดินแดน 5 เกาะในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งไม่มีผู้อาศัยอยู่อย่างถาวร รู้จักกันในชื่อ หมู่เกาะกระจายหรืออีลเซปาร์ส (Îles Éparses) ได้แก่
บัสซาสดาอินเดีย (Bassas da India)
ยูโรปา (Europa)
ฮวนเดโนวา (Juan de Nova)
โกลริโอโซ (Glorioso) และ
ตรอมแลง (Tromelin) ทั้งหมดถูกปกครองโดยจังหวัดโพ้นทะเลเรอูนียง
เกาะที่ไม่มีผู้อาศัย 1 แห่ง คือ
เกาะคลิปเปอร์ตัน (Clipperton) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ใกล้ชายฝั่งประเทศเม็กซิโก ปกครองโดยข้าหลวงใหญ่สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำท้องถิ่นโพ้นทะเลเฟรนช์โปลินีเซีย
เศรษฐกิจ
ประเทศฝรั่งเศสทั้งประเทศพึ่งอยู่กับ
พลังงานนิวเคลียร์ (
เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์กอลเฟค)
เมื่อดูจากมูลค่า
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ประเทศฝรั่งเศสนับเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 4 ของ
โลก ประเภทของอุตสาหกรรมที่เป็นที่มาของความสำเร็จดังกล่าว ได้แก่ อุตสาหกรรมทางด้าน
การขนส่ง โทรคมนาคม อุตสาหกรรมอาหาร ผลิตภัณฑ์ยา รวมไปถึง
ภาคธนาคาร การประกันภัย การท่องเที่ยว และ
สินค้าฟุ่มเฟือย (
เครื่องหนัง เสื้อผ้าสำเร็จรูป น้ำหอมและ
เหล้า)
ในปี
พ.ศ. 2547 ประเทศฝรั่งเศสเสียเปรียบดุลการค้าถึง 6.6 พันล้าน
ยูโร ถือเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกทางด้านสินค้าทุน (ส่วนมากจะเป็น
เครื่องจักรและ
อุปกรณ์) และเป็นอันดับ 2 ในส่วนของภาคบริการและทางด้านเกษตรกรรม (โดยเฉพาะ
ธัญพืชและ
อุตสาหกรรมอาหาร) ส่วนในระดับ
ภูมิภาคยุโรป ประเทศฝรั่งเศสนับเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าการเกษตรรายใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ สัดส่วนการค้าระหว่างประเทศฝรั่งเศสกับ
ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปคิดเป็นร้อยละ 70 (ร้อยละ 50 เฉพาะประเทศใน
โซนยูโร)
ในด้านการลงทุน ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีการลงทุนจากต่างประเทศมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ทั้งนี้เพราะผู้ลงทุนพอใจในคุณภาพของแรงงานชาวฝรั่งเศส การค้นคว้าวิจัยขั้นสูง เทคโนโลยีชั้นสูงที่ก้าวหน้ามาก เสถียรภาพของค่าเงิน และการควบคุมต้นทุนการผลิต
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (PIB) ปี
พ.ศ. 2547 มีมูลค่า 1,648.4 พันล้าน
ยูโรอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ปี
พ.ศ. 2549 คิดเป็นร้อยละ 2
รายได้เฉลี่ยต่อหัว 30,100 ดอลลาร์สหรัฐ (
พ.ศ. 2549)
อัตราเงินเฟ้อคิดเป็นร้อยละ 2.0 (ปี
พ.ศ. 2549)
ดุลการค้าขาดดุลมีมูลค่า 6.6 พันล้าน
ยูโร (
พ.ศ. 2547)
ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่มี
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์มากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองลงมาจาก
ประเทศสหรัฐอเมริกา (59
เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ใน 19
โรงงานปรมาณูทั่วประเทศ) การผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศ 88% มาจาก
พลังงานนิวเคลียร์ ค่าไฟฟ้าในประเทศราคาถูกกว่าประเทศใกล้เคียง จึงมีการส่งออกกระแสไฟฟ้าไปยังประเทศอื่น
เกษตรกรรม
ประเทศฝรั่งเศสมีจำนวนพื้นที่ถือครองเพื่อการเกษตรกว่า 590,000 แห่ง มีประชากรในวัยทำงานในภาคการเกษตร 1,189,000 คน และมีพื้นที่เพาะปลูก 27,668,000
เฮกตาร์หรือเท่ากับร้อยละ 50.7 ของ
ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ โดยมีผลิตผลทางการเกษตรหลักดังนี้
ธัญพืช 69.7 ล้าน
ตัน ในจำนวนนี้ 37.6 ล้านตันเป็น
ข้าวสาลีและ 16.4 ล้านตันเป็น
เมล็ดข้าวโพด ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของ
สหภาพยุโรปและเป็นอันดับ 5 ของโลก
ไวน์ 48 ล้าน
เฮกโตลิตร อันดับ 2 ของโลกและใน
สหภาพยุโรปรองจาก
ประเทศอิตาลีนม 22.2 ล้าน
ลิตร อันดับ 2 ของ
สหภาพยุโรปรองจาก
ประเทศเยอรมนีและเป็นอันดับ 5 ของโลก
หัวผักกาดหวาน 29.4 ล้าน
ตัน ผลิตได้เป็นอันดับ 1 ของ
สหภาพยุโรปและอันดับ 2 ของโลก
เมล็ดพืชที่ให้น้ำมัน 6 ล้าน
ตัน ผลิตได้เป็นอันดับ 1 ของ
สหภาพยุโรปส่วนด้านการทำ
ปศุสัตว์และ
การผลิตเนื้อสัตว์นั้น มีดังนี้
โค จำนวน 19.2 ล้านตัว /
เนื้อโค ปริมาณผลิต 1.8 ล้าน
ตันสุกร จำนวน 15.2 ล้านตัว /
เนื้อสุกร ปริมาณผลิต 2.3 ล้าน
ตันแกะ จำนวน 8.9 ล้านตัว,
แพะ จำนวน 1.2 ล้านตัว /
เนื้อแพะและ
แกะ ปริมาณผลิต 1.3 ล้าน
ตันเนื้อสัตว์ปีก ปริมาณผลิต 2.1 ล้าน
ตันประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ภายกลุ่ม
ประชาคมยุโรปกว่าร้อยละ 58.6 ของการค้าทั้งหมดของประเทศฝรั่งเศสคือ
ประเทศเยอรมนี เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก สหราชอาณาจักร สเปนและ
อิตาลี ที่เหลือได้แก่
สหรัฐอเมริกา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และ
แอลจีเรียการค้าต่างประเทศ
เครื่องบิน
แอร์บัส เอ 380 เครื่องแรกที่ผลิตในเมืองตูลูส เมื่อวันที่
18 มกราคม พ.ศ. 2548 โดยเครื่องบิน
แอร์บัสเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความสำเร็จทางเศรษฐกิจของประเทศฝรั่งเศสและ
สหภาพยุโรปในอดีตประเทศฝรั่งเศสขาดดุลการค้ามาโดยตลอดจนถึงปี
พ.ศ. 2525 ซึ่งได้มีการปรับโครงสร้างใหม่ เช่น การไม่รวมอัตรารายได้กับดัชนีเงินเฟ้อ และการปรับความสามารถในการแข่งขันส่งผลให้สภาวะการค้าของประเทศฝรั่งเศสดีขึ้น และตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา ประเทศฝรั่งเศสก็ได้เปรียบดุลการค้าติดต่อกันเรื่อยมา โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ฝรั่งเศสได้เปรียบดุลการค้า คือ ราคาพลังงานที่ฝรั่งเศสต้องนำเข้าได้ลดลง ประเทศฝรั่งเศสทำการค้ากับสหภาพยุโรปเป็นสำคัญโดยร้อยละ 60 ของการส่งออกของฝรั่งเศสส่งไปยังตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งเดิมถือว่าเป็นจุดอ่อนของประเทศฝรั่งเศส แต่สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันได้กลายเป็นข้อได้เปรียบ และการส่งออกสินค้ามูลค่าสูงเช่น เครื่องบินแอร์บัส และอุปกรณ์การบิน ดาวเทียม อุปกรณ์ด้านการทหาร และรถไฟความเร็วสูง (TGV) ได้ขยายตัวอย่างมากโดยมีสัดส่วนถึงร้อยละ 20 ของการส่งออกของประเทศฝรั่งเศสทั้งหมด
แนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต คาดว่าประเทศฝรั่งเศสจะได้เปรียบดุลการค้าลดลง เนื่องจากการถดถอยของอุปสงค์โลก ซึ่งเป็นผลกระทบจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจเอเชีย ในปี
พ.ศ. 2541 และการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ภายหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกาและสงครามในอิรัก
[2]การท่องเที่ยว
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสนับเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุดในโลก มีจำนวนถึง 81.9 ล้านคนในปี
พ.ศ. 2550 แซงหน้า
ประเทศสเปน (58.5 ล้านคนในปี
พ.ศ. 2549) และ
สหรัฐอเมริกา (51.1 ล้านคนในปี
พ.ศ. 2549) จำนวน 81.9 ล้านคนนี้ ไม่รวมนักท่องเที่ยวที่อาศัยในประเทศฝรั่งเศสน้อยกว่า 24
ชั่วโมง เช่น ชาวยุโรปทางตอนเหนือที่เดินทางผ่านประเทศฝรั่งเศสเพื่อไป
ประเทศสเปนหรือ
อิตาลีใน
ฤดูร้อน ประเทศฝรั่งเศสมีสถานที่ท่องเที่ยวในทุกๆ บรรยากาศไม่ว่าจะเป็น สถานที่ท่องเที่ยวทางด้านวัฒนธรรมหรือธรรมชาติ ที่ประกอบไปด้วย
ทะเล หาดทราย ป่า แม่น้ำ ภูเขา บ้านพักตากอากาศ ฯลฯ สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดมีดังนี้
[3] หอไอเฟล (6.2 ล้าน) ,
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (5.7 ล้าน) ,
พระราชวังแวร์ซายส์ (2.8 ล้าน) ,
พิพิธภัณฑ์ออร์เซ (2.1 ล้าน) ,
ประตูชัยฝรั่งเศส (1.2 ล้าน) ,
ซองตร์ ปอมปิดู (1.2 ล้าน) ,
มงต์-แซงต์-มิแชล (1 ล้าน) ,
ชาโต เดอ ชองบอร์ด (711,000) ,
แซงต์-ชาแปลล์ (683,000) ,
ชาโต ดู โอต์-โคนิคบูร์ก (549,000) ,
ปุย เดอ โดม (5 แสน) ,
พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ (441,000) และ
การ์กาสซอนน์ (362,000)
ประเทศฝรั่งเศสมีโรงแรมกว่า 18,217 แห่ง สถานที่ตั้งแคมป์ 8,289 แห่ง หมู่บ้านตากอากาศ 1001 แห่ง บ้านพักเยาวชน 188 แห่ง ที่พักราคาย่อมเยาในต่างจังหวัด 63,158 แห่ง ห้องพักพร้อมอาหารเช้าตามบ้านคนท้องถิ่น 31,013 ห้อง โดยประเทศฝรั่งเศสมีรายได้จากการท่องเที่ยว 32.8 พันล้าน
ยูโร นับเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจาก
สหรัฐอเมริกาและ
อิตาลี และมีดุลการท่องเที่ยวเกินดุลกว่า 9.8 พันล้าน
ยูโรประชากร
ดูบทความหลักที่
ชาวฝรั่งเศสประชากรของประเทศฝรั่งเศสนั้นมีประมาณ 64.5 ล้านคน โดยเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 19 ของ
โลก เมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมากได้แก่] วัฒนธรรม
ชาวฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการนอนกลางวัน จึงส่งผลให้ประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสชอบนอนกลางวันตามไปด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนลึกของวัฒนธรรม คล้ายคลึงกับของอังกฤษและอิตาลีอยู่แล้ว ไม่สามารถแบ่งได้ชัดเจนเด่นชัด เช่น การจับมือ ภาษา เป็นต้น เนื่องจากชนพื้นเมืองเป็น ชนผิวดำ และสีผิว จึงได้วัฒธรรมตามกันมา.